วันเสาร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นิกายมนตรยาน หรือคุยหยาน

ประวัติความเป็นมา
ลัทธิคุยหยาน ซึ่งแปลว่าลัทธิลับนั้น เป็นนิกายที่มีลักษณะแปลกประหลาดกว่านิกายพระพุทธศาสนาอื่นๆ ที่รับเอาพิธีกรรมและอถรรพเวทของพราหมณ์เข้ามาสั่งสอนด้วย แต่แก้ไขให้เป็นของพระพุทธศาสนาเสีย เช่น แทนที่จะบูชาพระอิศวรก็บูชาพระพุทธเจ้าแทน ลัทธิคุยหยาน หรือมนตรยานรหัสยานนั้นมีกำเนิดในฐานะคลุมเครือ แต่เข้าใจว่าอย่างเร็วก็ไม่ก่อนพุทธศตวรรษที่ ๗ ขึ้นไป ขณะแรกก็คงเป็นส่วนหนึ่งในมหายาน มาในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๐ ลัทธินี้จึงได้ประกาศตนแยกออกจากมหายานเด็ดขาด กลายเป็นยานใหม่ คือ คุยหยาน แต่ก็ยังถือหลักปรัชญาในมหายานเป็นปทัฏฐาน เรียกพวกมหายานเดิมว่า พวกเปิดเผย ส่วนพวกตน เรียกว่า พวกลับ คือ เป็นมหายานชนิดลับไม่ใช่ชนิดเปิดเผย คุยหยานกำเนิดขึ้นดูเหมือนเพื่อจะเอาชนะน้ำใจชาวฮินดูที่ติดใจเรื่องยัญกรรม บวงสรวง และพระเป็นเจ้าต่างๆ จึงได้อนุโลมตามความต้องการของสังคม รับเอายัญกรรมและอถรรพเวทอาคม มนตราขลังต่างๆ เข้ามาในพระพุทธศาสนา ในตำนานของลัทธินี้กล่าวว่า หลักธรรมของมนตรยานเทศนาเปิดเผยโดยพระไวโรจนพุทธเจ้า ซึ่งเทศนาหลักธรรมนี้ในวัชรธรรมธาตุมณเฑียร ภายหลังพระวัชรสัตว์ (บ้างว่า คือ พระสมันตภัทโพธิสัตว์ บ้างว่าพระอินทร์) ได้รวบรวมไว้และบรรจุอยู่ในเจดีย์เหล็กของอินเดียใต้ ต่อมาอาจารย์นาคารชุนได้เปิดกรุพระธรรมลึกลับนี้ และได้รับอภิเษกจากพระวัชรสัตว์ จึงได้ประกาศลัทธิคุยหยานแก่โลก นาคารชุนได้ถ่ายทอดให้แก่นาคโพธิ ซึ่งเชื่อกันว่าเป็นบุคคลผู้มีชีวิตในราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑ ร่วมยุคกับท่านเฮี่ยงจัง นาคโพธิเป็นผู้ที่มีอายุยืนถึง ๗๐๐ ปีเศษ ได้จาริกเผยแพร่ลัทธิคุยหยานในแคว้นต่างๆ ตลอดถึงเกาะสิงหล นาคโพธิได้อภิเษกถ่ายทอดหลักธรรมให่แก่ศุภกรสิงห และวัชรโพธิศุภกรสิงหเดิมเป็นสาวกฝ่ายมาธยมิก เมื่อมาเลื่อมใสในคุยหยานแล้วจึงยังคงใช้ปรัชญาของศุนยตวาทินประกอบในกานสั่งสอนมนตรายานเสมอ ท่านได้จาริกมาสู่ประเทศจีนในแผ่นดินพระเจ้าถังเฮี่ยงจง ศุภกรสิงหะได้แปลพระสูตรสำคัญของคุยหยานออกสู่พากย์จีน คือ มหาไวโรจนสูตร และได้เปิดมณฑลพิธีอภิเษกมอบหมายธรรมแก่คณาจารย์อิงเหง ซึ่งท่านผู้นี้เดิมเป็นสาวกนิกายเซน และเป็นผู้แต่งอรรถกถามหาไวโรจนสูตรจำนวน ๒๐ ผูก ซึ่งเป็นอรรถกถาที่สำคัญมากของนิกายนี้ ท่านได้รับยกย่องจากพระเจ้าถังเฮี่ยงจงในฐานะเป็นรัฐคุรุ ฝ่ายวัชรโพธินั้น ได้จาริกมาประเทศจีนหลังการมาของศุภกรสิงหะ ๔ ปี ท่านได้มาพร้อมด้วยอัครสาวกชื่อ อโมฆวัชระ ได้สถาปนามณฑลพิธีอภิเษกให้แกผู้เลื่อมใสในนครเชียงอาน คณาจารย์อิกเหงได้มารับอภิเษกจากวัชระโพธิด้วยเหมือนกัน ในประการเดียวกันอโมฆวัชระก็ได้รับอภิเษกถ่ายทอดธรรมจากศุภกรสิงหะ ต่อมาอโมฆวัชระได้เดินทางกลับไปอินเดีย เพื่ออัญเชิญคัมภีร์ต่างๆ ของลัทธิคุยหยาน และเมื่อกลับมาสู่ประเทศจียแล้ว ก็มาเป็นนักแปลพระสูตรของคุยหยานชั้นเยี่ยมผู้หนึ่ง ปรากฎว่าคัมภีร์ที่ท่านผู้นี้แปลนับจำนวนร้อยผูก สาวกชั้นเอกของอโมฆวัชระมีหลายรูป ที่สำคัญคือ คณาจารย์ฮุ้ยก๊วยแห่งวัดแชเส่งยี่ (วัดมังกรเขียว) พระสงฆ์ญี่ปุ่นชื่อ โกโบไดฉิ ได้มารับอภิเษกธรรมจากท่านและเมื่อกลับสู่ประเทศญี่ปุ่นแล้ว คณาจารย์โกโบไดฉิได้ตั้งนิกายมนตรายานขึ้นเป็นผลสำเร็จ มีอิทธิพลมากมาย แลได้รับบรมราชูปถัมภ์จากพระเจ้าจักรพรรดิของญี่ปุ่นด้วย เรียกว่า นิกายชิงก๎งอน มีสำนักอยู่บนภูเขาโกยาซาน ในยุคเดียวกันมีคณาจารย์ญี่ปุ่นอีกรูปหนึ่งชื่อ เด็งกโยไดฉิ จาริกมาเรียนปรัชญานิกายเทียนไท้ นิกายเซน และในที่สุดได้ไปศึกษาลัทธิมนตรายาน รับอภิเษกจากคณาจารย์ซุ่นเฮียว ผู้ซึ่งเป็นสานุศิษย์ชั้น ๓ ของศุภกรสิงหะ เมื่อท่านผู้นี้กลับมาตุภูมิจึงได้ตั้งนิกายเทียนไท้ หรือภาษาญี่ปุ่นว่า เทนไดขึ้นและสั่งสอนลัทธิมนตรายานประกอบกับปรัชญาเทียนไท้พร้อมกันไปด้วย เรียกว่า ไทมิก แปลว่า ลับ อย่างนิกายเทียนไท้ตรงข้ามกับลัทธิมนตรายานของโกโบ ส่วนในประเทศจีนนั้นถึงปลายราชวงศ์ถัง ลัทธิคุยหยานเสื่อมโทรมลงเป็นลำดับ พอเข้าสู่ยุคราชวงศ์เหม็งเลยสาบสูญไปจากแผ่นดินจีน คงเหลือแต่พิธีกรรมบางอย่าง และเวทมนต์บางบทติดเนื่องอยู่ในศาสนกิจของพระเท่านั้น
มนตรายานของทิเบตกับจีน ญี่ปุ่นนั้น แตกต่างกันไม่พิสดารมากนัก แต่ของทิเบตสมบูรณ์กว่าญี่ปุ่นมาก เช่น ลัทธิกาลจักรอันเป็นมนตรายานยุคหลังนั้น ฝ่ายจีนกับญี่ปุ่นหามีไม่
คัมภีร์สำคัญ
๑. มหาไวโรจนาภิสัมโพธิวิกุรฺวิตาธิฐานไวปุลยสูตร เรนฺทรราชนมปรฺยายสูตร เรียกสั้นๆ ว่า มหาไวโรจนสูตร (ไต้ยิดเก็ง) ศุภกรสิงหะกับอิกเหงร่วมกันแปล
๒. วัชรเสขรสูตร อโมฆวัชระแปล
๓. อรรถกถามหาไวโรจนสูตร ของอิกเหง
หลักธรรม
นิกายมนตรยานนั้นทั้งหลักปรัชญาก็เป็นของพราหมณ์ พิธีกรรมก็ดัดแปลงมาจากพราหมณ์ แปลว่า มีลักษณะของพระพุทธศาสนาบริสุทธิ์น้อยกว่ามหายานทุกนิกาย คุยหยานหรือรหัสยาน ซึ่งแปลว่า ยานลึกลับ ด้วยเหตุ ๔ ประการ คือ
๑. เพราะเป็นความลึกลับ ซึ่งพระพุทธเจ้าทั้งหลายซ่อนเอาไว้ ไม่ทรงเปิดเผยแก่สาธารณชน นอกจากบุคคลผู้มีอุปนิสัยสันดานสูงปัญญากล้า ที่จักพอรับรสพระสัทธรรมอันเร้นลับนี้ พระองค์จึงประทานให้ เปรียบว่าผู้ใหญ่ที่ไม่ยื่นอาวุธหรือของมีคมแก่เด็กผู้ไม่รู้เดียงสา เพราะเกรงว่าจะเป็นอันตราย แต่จะให้ก็เฉพาะผู้รู้ความแล้ว
๒. เพราะธรรมชาติศัพท์สำเนียงต่างๆ ในโลกนั้นแท้จริง เป็นธรรมเทศนาของพระไวโรจนพุทธเจ้า แต่ปุถุชนสัตว์มีอวิชชากำบังจึงไม่รู้แจ้ง และเข้าใจในสิ่งธรรมชาติเหล่านั้น จัดว่าเป็นความลึกลับอย่างหนึ่ง
๓. เพราะพระพุทธวจนะนั้น มีอรรถลึกนักหนา เราจะเพ่งเอาแต่รูปภาษาโวหารอย่างเดียวไม่ได้ เช่น ในพระสูตรมีกล่าวว่า “กามราคะนั่นแหละ คือ อริยมรรค โทสะและโมหะก็อันเดียวกัน” ถ้าเราไปยึดเอาตามตัวโวหาร จักกลายเป็นโทษ ผิดพุทธประสงค์ ฉะนั้น ต้องพิจารณาไตร่ตรองด้วยปัญญาอันสุขุม
๔. เพราะการปฏิบัติเข้าถึงโพธินั้น ลำพังกำลังตนไม่พอจะต่อต้านพลมารกิเลส ต้องพึ่งอานุภาพของพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ช่วยจึงจักสำเร็จ
ธารณี
ลัทธิมนตรยาน บางทีเรียกกันอีกว่า ธารณีนิกาย ทั้งนี้เพราะนิกายนี้ถือการร่ายมนต์เป็นสำคัญยิ่งประการหนึ่ง มนต์ต่างๆ เรียกว่า “ธารณี” (ทอล่อนี้) ส่วนมากเป็นธารณีของพระพุทธเจ้า พระโพธิสัตว์ เทพธรรมบาล ประทานให้แก่สัตว์โลก มีมากมายเหลือคณานับ บางบทก็ยาว บางบทก็สั้นเพียงพยางค์คำเดียว แต่ละบทล้วนมีอานุภาพขลังยิ่งนัก มีทั้งใช้ในทางพระเดชและทางพระคุณ บางบทก็สามารถทำผู้เจริญให้มีกิเลสเบาบางลงได้ ผ่อนบาปของผู้นั้นน้อยลง หรือหมดสิ้นไป
มุทรา
การทำเครื่องหมายต่างๆ ด้วยนิ้วมือทั้ง ๑๐ นิ้ว หรือนิ้วใดนิ้วหนึ่ง หรือที่มือข้างใดข้างหนึ่ง เรียกว่า “มุทรา” เป็นสัญลักษณ์ของพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ เทพธรรมบาลทั้งหลายองค์หนึ่งๆ ย่อมมีสัญลักษณ์ประจำพระองค์ เทียบด้วยพระพุทธรูปปางต่างๆ เช่น ปางอภัยมุทรา ปางธรรมจักรมุทรา เป็นต้น ลัทธิมนตรยานถือว่า ผู้ใดยังกายของตนคือมือทั้งสองทำเครื่องหมายเหมือนดังของพระแล้ว ก็เท่ากับว่ายังกายของตนให้สัมปยุตด้วยพระกายของพระ จักมีฤทธิ์อำนาจหนักหนา อาจใช้บังคับบัญชาพระอริยะและเทพดา ยักษ์ มาร นาค คนธรรพ์ต่างๆ ได้ ทั้งนี้เสมือนมุทรานั้นดั่งพระราชลัญจกรของพระราชา เมื่อประทับลงไปในที่ใดที่หนึ่งก็จะทำให้ที่นั้นศักดิ์สิทธิ์มีอำนาจขึ้นมา
อภิเษก
นิกายนี้ถือหลักการถ่ายมอบคำสอนด้วยวิธีผ่านการอภิเษกจากอาจารย์เป็นสำคัญยิ่ง หากมิได้รับการอภิเษกแล้วจะร่ำเรียนประกอบโยคกรรมอันใด ก็ไม่ได้ผลเต็มสมบูรณ์ การอภิเษกนั้น ก็เท่ากับการครอบวิชาให้นั้นเอง
จุดเด่นเหนือนิกายอื่น
๑. ปฏิบัติตามนิกายอื่น กว่าจะบรรลุอนุตรสัมโพธิต้องกินเวลาช้านาน
๒. ลัทธิคุยหยานเหมาะกับอุปนิสัยของชนทุกชั้น ทุกวัย ทุกนิกาย
๓. ผู้ปฏิบัติตามโยคกรรมของลัทธินี้ เวลาไปอุบัติในพุทธเกษตร
๔. ข้อปฏิบัติก็ง่าย แต่มีผลานิสงส์มาก เช่น สวดธารณีก็สามารถดับอกุศลบาปกรรมในอดีตได้
๕. ลัทธินี้สามารถดับครุกรรมวิบากได้ เช่น สวดอมิตายุธารณีเพียงบทเดียว
๖. ในนิกายสุขาวดี บุคคลผู้ไปเกิดต้องบริบูรณ์ด้วยความศรัทธา ปณิธาน และปฏิบัติ จึงอุบัติได้ แต่ลัทธิคุยหยานถือว่าเพียงแต่อำนาจธารณีอย่างเดียว ก็สามารถช่วยให้คนทำครุอกุศลกรรมกลับไปในสุขาวดีได้ เช่น เสกทรายด้วยธารณี ๑๐๘ คาบ แล้วนำไปเกลี่ยลงบนหลุมศพ ผู้ตายแม้ไม่เคยทำกุศลใดเลย ก็อาจหลุดพ้นไปปฏิสนธิในสุขาวดี
๗. ในสถานที่ใด หากเป็นที่ประดิษฐานธารณี เราเพียงแต่ได้เห็นหรือได้อยู่ หรือเราได้ฟังเสียงคนร่ายธารณี หรือเราได้สังสรรค์กับผู้ร่ายธารณีเป็นนิตย์ มีอานิสงส์เท่ากับเราได้พบเห็นพระพุทธเจ้าเหมือนกัน และดับครุโทษได้ด้วย
๘. นิกายพระพุทธศาสนาอื่นๆ ถือว่า การบรรลุเป็นพระพุทธเจ้าต้องอยู่ในปุริสภาวะ เพราะเป็นธรรมฐิติธรรมนิยามอย่างนั้น แต่ในลัทธิมนตรยานว่า ไม่จำป็น แม้อิตถีภาวะก็บรรลุได้
๙. นอกจากจะได้ปรชาติ ประโยชน์ในภพหน้าแล้วในปัจจุบันภพ หากมีทุกข์ภัยอันใด ลัทธิคุยหยานก็มีวิธีโยคกรรม ทำให้สำเร็จสมปรารถนา เช่น ต้องการได้โชคลาภ
๑๐. ปวงพระพุทธเจ้าทั้งหลายที่บรรลุสัมโพธิญาณล้วนต้องปฏิบัติตามธรรมในลัทธินี้ทั้งสิ้น
ปรัชญา
นิกายนี้กล่าวว่า พระไวโรจนะเป็นมูลธาตุของสากลจักรวาลและสิ่งทั้งปวง อรรถกถาแห่งไวโรจนสูตรกล่าวว่า “ลักษณะแท้จริงแห่งรูปกาย และนามกายของปวงสัตว์ แต่เบื้องมีกาลอันไม่ปรากฏ ก็เป็นปรัชญาภาวะอันเสมอแห่งพระองค์ไวโรจนะ”
จตุรมณฑล
เราทราบแล้วว่า สรรพสิ่งทั้งหลาย ได้แก่ มหาภูตทั้ง ๖ มหาภูตทั้ง ๖ นั้น ว่าโดยปรากฎการณ์แล้ว อาจแบ่งได้เป็น ๔ มณฑลด้วยกัน ที่เรียกว่า มณฑลนั้น ก็เนื่องด้วยธรรมเหล่าใดที่มีปัจจัยจากธาตุ ๖ ธรรมเหล่านั้นก็สมบูรณ์ด้วยภาวะ ปรากฎการณ์ทั้ง ๔ อยู่ร่วมกัน ฉะนั้น จึงเรียกว่า “มณฑล”
ทวิมณฑล
พระไวโรจนพุทธทรงสำแดงคุณลักษณะของพระองค์ออกมาด้วยมณฑลทั้ง ๒ คือ วัชรธาตุมณฑล อันปรากฏอาคตสถานจากวัชรเสขรสูตร ๑ กับครรภธาตุมณฑล อันปรากฎอาคตสถานจากมหาไวโรจนสูตร ๑ วัชรธาตุมณฑลแสดงถึงปัญญาคุณของพระตถาคต ซึ่งมีอยู่ในสรรพสัตว์ ส่วนครรภธาตุมณฑลแสดงถึงภาวะอันแท้จริง และคุณลักษณะของพระตถาคต

บรรลุเป็นพุทธะด้วยกายเนื้อ
มนตรยานถือว่า ทุกคนสามารถบรรลุโพธิญาณได้ด้วยรูปกาย และนามกาย (คือ จิต) ในปัจจุบันชาตินี้ ภพนี้ และบัดนี้ ทั้งนี้ด้วยเหตุผลว่า มหาภูตของพระไวโรจนพุทธะกับมหาภูตของเรา ต่างก็มีภาวะอันเดียวกัน
จตุรมูลศีล
มูลสิกขาบทอันสำคัญของลัทธิคุยหยานมีอยู่ ๔ ข้อ ผู้ใดละเมิด ถือว่าเป็นครุโทษหนัก เทียบด้วยปราชิกทีเดียว คือ
๑. ไม่ละพระสัทธรรม
๒. ไม่ละโพธิจิต
๓. ไม่มีธรรมมัจฉริยะ
๔. ไม่เบียดเบียนสรรพสัตว์
อัคนิโมหะ
มนตรยานมีพิธีบูชาไฟเช่นเดียวกับพราหมณ์เหมือนกัน และถือว่าเป็นพิธีสำคัญมาก มีการก่อกองกูณฑ์ แล้วเอาสิ่งของบูชาโยนเข้าไปในกองกูณฑ์นั้น ลัทธินี้อธิบายว่า อัคนิโมหะของตนไม่เหมือนกับพราหมณ์ ทั้งนี้เพราะพราหมณ์นั้นบูชาพระอัคนี และถือว่าเทพเจ้าอยู่เบื้องสรวงสวรรค์ มนตรยานถือว่า สิ่งของต่างๆ ที่โยนลงไฟเปรียบด้วยไฟเป็นแสงสว่างแห่งปัญญา เผากิเลส อวิชชา
จตุรอาถรรพณ์
มนตรยานมีการบำเพ็ญอาถรรพณ์ ในทางกฤตยาคุณ ทั้งทางพระเดชและพระคุณอยู่ ๔ ประการ คือ
๑. พิธีอาถรรพณ์ ในทางสร้างความสุขให้เกิดขึ้น
๒. พิธีอาถรรพณ์ ในทางเพิ่มเติมความสุขสมบูรณ์
๓. พิธีอาถรรพณ์ ในทางกำราบศัตรูที่เป็นผู้ขัดขวางพระสัทธรรม
๔. พิธีอาถรรพณ์ ในทางเมตตา
อ้างอิง : เสถียร โพธินันทะ. ปรัชญามหายาน,พิมพ์ครั้งที่ ๕, กรุงเทพฯ: มหามกุฏราชวิทยาลัย,๒๕๔๘.
นาคารชุน

วันพุธที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นิกายธรรมลักษณะ หรือฮวบเซียงจง

ประวัติความเป็นมา
นิกายธรรมลักษณะ เป็นชื่อที่เรียกกันในภาษาจีนหมายถึงปรัชญาโยคจาร หรือวิชญาณวาทินนั่นเอง มีคุณลักษณะทั้งทางหลักคำสอนกับการปฏิบัติใกล้เคียงกับพระพุทธศาสนาฝ่ายสาวกยานที่สุด จัดได้ว่าเป็นปรัญาฝ่ายอภิธรรมมหายานเลยทีเดียว การสำเร็จแห่งปรัชญา โยคาจารได้รับอิทธิพลจากหลักธรรมในนิกายเถรวาท มหาสัฆิกะ สรวาสติวาทิน และเสาตรันติกะ รวมกันปรุงขึ้นเป็นโยคาจาร โยคาจารได้ถูกประกาศให้แพร่หลายขึ้นโดยอาจารย์อสังคะ (ราวปลายพุทธศตวรรษที่ ๙ ) ซึ่งกล่าวกันว่าท่านได้รับการอรรถาธิบายจากพระศรีอารยเมตไตรย ณ กรุงอโยธยาในอินเดียภาคกลาง พระศรีอารยเมตไตรยนี้ มีผู้เชื่อกันว่า คือ พระโพธิสัตว์อารยเมตไตรยที่จักมาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตนั้นเอง แต่ก็มีปราชญ์เป็นอันมากถือว่าเป็นเพียงพระมหาเถระรูปใดรูปหนึ่ง ซึ่งเผอิญมีนามตรงกันกับพระเมตไตรยโพธิสัตว์เท่านั้น พระอารยเมตไตรยได้แสดงศาสตร์ทั้ง ๕ เป็นหลักของปรัชญาโยคาจาร ต่อมาอสังคะได้นิพนธ์คัมภีร์อารยวาจาปกรณ์ศาสตร์ และมหายานสัมปริครหศาสตร์เผยแผ่ปรัชญาสายนี้ต่อมา อย่างไรก็ดี ปรัชญาโยคาจารได้เจริญรุ่งโรจน์ขึ้นก็ด้วยอาศัยอาจารย์วสุพันธุ ผู้ซึ่งเป็นน้องชายของอสังคะ วสุพันธุเดิมเลื่อมใสในนิกายสรวาสติวาทิน และเสาตรันติกะ ได้เขียนปกรณ์วิเศษทางอภิธรรมฝ่ายสาวกยานไว้มาก กล่าวกันว่ามีจำนวนถึง ๕๐๐ ปกรณ์ ต่อมาได้รับการตักเตือนสั่งสอนจากพี่ชายจนเกิดความเลื่อมใสในมหายานขึ้น วสุพันธุจึงได้แต่งคัมภีร์ประกาศปรัชญาโยคาจารเป็นอันมาก ว่ากันว่ามีจำนวนถึง ๕๐๐ ปกรณ์เหมือนกัน เล่มที่สำคัญที่สุดก็คือ วิชญาณปติมาตราตรีทศศาสตร์ ต่มามีคณาจารย์อีกเป็นอันมากที่สงเสริมเทศนาสั่งสอนปรัชญาโยคาจาร มีมหาวิทยาลัยนาลันทาเป็นสนามประกาศลัทธิ คณาจารย์องค์สำคัญๆ มีอาทิ เช่น ทินนาคะ สานุศิษย์ของวสุพันธุผู้แต่งคัมภีร์ประมาณ สมุจจัย คุณมติ สถิรมติ ธรรมปาละ นันทะ ศุทธิจันทร พันธุศิริ (องค์นี้ร่วมยุคกับวสุพันธุ) ชินตราต วิชัยมิตร ชินบุตร ญาณจันทระ ศีลภัทระ ชัยเสน ธรรมกีรติ ศานติเทวะ คณาจารย์เหล่านี้ มีทั้งภิกษุและฆราวาส คณาจารย์ภิกษุองค์ที่มีบทบาทสำคัญ คือ ธรรมปาละ อธิการบดีแห่งมหาวิทยาลัยนาลันทา และศีลภัทระ ผู้สาวก
คัมภีร์สำคัญ
ฝ่ายโยคาจารถือว่ามีพระสูตรอยู่ ๖ สูตร ซึ่งพระพุทธองค์ทรงเมศนาถึงหลักธรรมโยคาจารไว้ และมีศาสตร์อีก ๑๑ ปกรณ์ เป็นหลักลัทธิ คือ
หลักธรรมสำคัญ
สูตรทั้ง ๖
๑. อวตํสกสูตร (ฮั่วเงี่ยมเก็ง) มีฉบับแปลอยู่ถึง ๓ ฉบับ ของพุทธภัทระ ศิกษานันทะ และปรัชญา
๒. สันธินิรโมจนวยูหสูตร (เกยชิมมิกเก็ง) ภิกษุเฮี่ยงจังแปลเป็นฉบับที่ถูกต้อง นอกนั้นมีของโพธิรุจิ และปรมัตถะ และคุณภัทระ
๓. ตถาคตวิสภวคุณสูตร (ยู่ไล้ชุกฮิ่งกงเต๊กเก็ง) ยังไม่มีในฉบับจีน
๔. อภิธรรมสูตร (อาพีตับม๊อเก็ง) ยังไม่มีในฉบับจีน
๕. ลังกาวตารสูตร (เลงแคเก็ง) มีฉบับแปล ๓ ฉบับของคุณภัทระ โพธิรุจิ ศิกษานันทะ
๖. ฆนวยูหสูตร (เก่าเงียมเก็ง) ทิวากรแปล
ศาสตร์ ๑๑
๑. โยคาจารภูมิศาสตร์ (ยู่แคซือหลุง) ของพระอารยเมตไตรย เฮี่ยงจังแปล
๒. มัธยานตวิภังคศาสตร์ (เปี้ยงตงเปียงหลุง) ของพระอารยเมตไตรย เฮี่ยงจังแปล
๓. อารยวาจาปกรณ์ศาสตร์ (เฮี่ยงเอี๋ยงเซียก้าหลุง) ของพระอสังคะ เฮี่ยงจังแปล
๔. มหายานสัมปริครหศาสตร์ (เนียบไต้เสงหลุง) ของพระอสังคะ เฮี่ยงจังแปล มีฉบับแปลอีก ๒ ของปรมัตถะ และพุทธคุปตะ
๕. อาลัมพนปริกศาสตร์ (กวงซออ้วงอ่วงหลุง) ของทินนาค เฮี่ยงจังแปล
๖. อภิธรรมสังยุกตสังคีติศาสตร์ (อาพีตับม๊อจับจิบหลุง) ของอสังคะ เฮี่ยงจังแปล
๗. วีศติกวิชญาณมาตราศาสตร์ (ยี่จับยุ่ยเซกหลุง) ของวสุพันธุ เฮี่ยงจังแปล
๘. ทศภูมิศาสตร์ (จับตี้หลุง) ของวสุพันธุ โพธิรุจิแปล
๙. มหายานอลังการศาสตร์ (ไต้เสงจังเงียมหลุง) ของพระอารยเมตไตรย ปอล่อพัวมิกตอล้อ แปล
๑๐. ประมาณสมุจจัย (จิบเหลียงหลุง) ของทินนาคยังไม่มีในฉบับจีน
๑๑. โยควิภังคศาสตร์ (ฮุงเปี๋ยกยู่แคหลุง) ของพระอารยเมตไตรย ยังไม่มีในฉบับจีน
นอกจากศาสตร์ทั้ง ๑๑ นี้ ยังเพิ่มคัมภีร์วิชญาณมาตราสิทธิตรีทศศาสตร์ ซึ่งเฮี่ยงจังรวบรวม และบรรดาฎีกาต่างๆ ของศาสตร์นี้ด้วย
ปรัชญา
ปรัชญาโยคาจารได้สอนหนักไปทางลัทธิมโนภาพนิยม (Idealism) ด้วยการสอนว่า ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ว่าสังขตะ อสังขตะ ล้วนแต่ออกจากจิตทั้งสิ้น จิตนี้เรียกว่า อาลยวิชญาณ หรืออาลยวิญญาณ วิญญาณนี้ แท้จริงก็คือ ตัวภวังคจิตในอภิธรรมปิฎกของฝ่ายเถรวาทนั่นเอง เป็นจิตที่เกิดดับอยู่ทุกขณะ สืบภพสืบชาติแลรับอารมณ์ เสวยวิบากอยู่เรื่อยจนกว่าจะเข้าถึงอนุปาทิเสสนิพพานธาตุ จิตนี้ก็จักดับสุดรอบ มูลการณะของสรรพสิ่งอยู่ที่อาลยวิญญาณๆ นี้เป็นปทัฏฐาน
ปรัชญาโยคาจารได้สอนถึงวิญญาณทั้ง ๘ คือ จักขุวิญญาณ โสตวิญญาณ ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณ มโนวิญญาณ กลิศตมโนวิญญาณ และอาลยวิญญาณ
ปัญจวิญญาณ
ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจถึงเรื่องวิญญาณทั้ง ๘ ก่อน ปัญจวิญญาณทั้งย่อมไม่มีปัญหาว่าจะแตกต่างกับเถรวาทอย่างไร คือ เมื่อจักขุเห็นรูป ก็เกิดจักขุวิญญาณ หูฟังเสียงก็เกิดโสตวิญญาณ ฯลฯ ดังนี้ ตามแนวแห่งโยคาจรถือว่าปัญจวิญญาณจะเกิดขึ้นโดยลำพัง อินทรีย์กับวิสัยมากระทบกันอย่างเดียวก็หาไม่ ต้องอาศัยปัจจัย ๙ อย่าง มีที่ว่าง แสงสว่าง อินทรีย์ คือ จักขุปสาทรูป รูปวิสัย มนสิการ จิต มโนธาตุ มโนวิญญาณ และพีชะ ส่วนผู้ที่ได้ทิพย์จักขุไม่ต้องอาศัยที่ว่างกับแสงสว่าง ๒ อย่าง นอกนั้นคงต้องอาศัย โสตวิญญาณเกิดขึ้น ก็ต้องอาศัยปัจจัย ๘ ยกแสงสว่างออกเสียอันหนึ่ง เปลี่ยนโสตประสาทและศัพทวิสัยเสีย ฆานวิญญาณ ชิวหาวิญญาณ กายวิญญาณเกิดก็ต้องอาศัยปัจจัย ๗ อย่าง คือ ยกแสงสว่างและที่ว่างเสีย นอกนั้นเปลี่ยนเป็นฆานปสาทรูป คันธวิสัย ชิวหาปสาทรูป ชิวหาวิสัย กับกายปสาทรูป กายวิสัยเท่านั้น ปัญจวิญญาณทั้ง ๕ รับอารมณ์ใกล้ไกลหาเหมือนกันไม่ คือ จักขุ โสตะ เป็นอสัมปัตตะ เพราะรับอารมณ์ที่ห่างไกลออกไปได้ ส่วนฆานะ ชิวหา กาย เป็นสัมปัตตะ เพราะต้องรับอารมณ์ที่มาถึงตน ต่างกันอย่างนี้แลปัญจวิญญาณ
มโนวิญญาณ
มโนวิญญาณความรู้ทางใจ มี ๒ พฤติการณ์ คือ มโนวิญญาณที่เป็นไปในปัญจทวารขณะรับรู้อารมณ์ทั้ง ห้า ๑ แลมโนวิญญาณที่รับรู้อารมณ์ขณะปัญจทวารมิได้ทำการรับอารมณ์ ๑ มโนวิญญาณนี้พิจารณาทั้งในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ต่างจากปัญจวิญญาณซึ่งเป็นได้แต่ปัจจุบัน มโนวิญญาณมีหน้าที่สำคัญในการที่เป็นต้นเหตุแห่งการประกอบกรรมดีกรรมชั่ว มโนวิญญาณเป็นได้ทั้งกุศล อกุศล และอัพยากฤต เช่นเดียวกับปัญจวิญญาณ มโนวิญญาณจะขาดตอนไม่มีก็ต่อเมื่อเข้าสู่อสัญญีภพ เข้าสัญญีสมาบัติ เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธสมาบัติ คนที่หลับสนิท และคนสลบไม่มีฝัน
มโนหรือมนินทรีย์
ปัญจวิญญาณ ๕ ย่อมต้องอาศัยอินทรีย์ ๕ เป็นที่อาศัยจึงเกิดได้ คือ จักขุวิญญาณก็ต้องอาศัยจักขุนทรีย์ เป็นต้น ฉันใด มโนวิญญาณจะบังเกิดพฤติการณ์ได้ ก็ต้องมีที่อาศัยกล่าว คือ มนินทรีย์ฉันนั้น ผิดกันแต่อินทรีย์ของปัญจวิญญาณเป็นรูปธรรม ส่วนอินทรีย์ของมโนวิญญาณเป็นนามธรรม ฝ่ายโยคาจารได้ให้อรรถาธิบายถึงมนินทรีย์ ผิดแผกจากมโนวิญญาณว่า มโนธาตุหรือมนินทรีย์นี้เป็นวิญญาณที่ ๗ สภาพเป็นอัพยากฤต มีหน้าที่ยึดถืออาลยวิญญาณว่าเป็นตัวตน เป็นตัวอุปทานที่ไปยึดครองอาลยวิญญาณ ซึ่งอาลยวิญญาณนี้เป็นสภาพที่ถูกยึดโดยมนินทรีย์หรือมโน ไม่มีหน้าที่พิจารณารับรู้อารมณ์ภายนอก รับรู้ยึดติดแต่อารมณ์ภายใน แต่เนื่องด้วยมโนธาตุเป็นตัวทำการยึดถือในอาลยวิญญาณ จึงมีอิทธิพลสามารถกระเทือนไปถึงมโนวิญญาณ ให้มีความรู้สึกไปในทางกุศลากุศลได้ เพราะฉะนั้น แม้ธรรมชาติจะเป็นอัพยากฤตก็นับเป็นอาสวะ ฉะนี้ จึงมีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า กลิศตมโนวิญญาณ มีการคิดพิจารณาในอาลยวิญญาณ ว่าเป็นตัวตนเสมอ ไม่ขาด สืบสันตติเนื่องกันไปจนกว่าจะสิ้นภพชาติพ้นกิเลส มโนวิญญาณขาดตอนได้ด้วยเหตุผล ๕ ประการ แต่กลิศตมโนนี้จะขาดก็ต่อเมื่อบรรลุพระอรหัตผล หรือเข้าสู่สัญญานิโรธสมาบัติเท่านั้น ฝ่ายโยคาจารให้เหตุผลที่จะต้องมีกลิศตมโนนี้ว่า ในอสัญญีภพ ซึ่งเป็นพรหมลูกฟักมีแต่รูป แม้จนกระทั่งนามธาตุก็ดับแล้ว กิเลสอาสวะทั้งหลายก็ไม่มีที่เกิดมิสูญหายไปหรือ ถ้ากิเลสอาสวะนั้นมีอยู่ มันไปอยู่ที่ไหน ฝ่ายโยคาจารไม่เห็นด้วยกับมติที่ว่า อสัญญีสัตว์ดับนามธาตุ แต่ถึงว่าเป็นปัญจวิญญาณ และมโนวิญญาณดับหมดได้ แต่กลิศตมโนหาดับไม่มีอยู่ มิฉะนั้นแล้วอสัญญีสมาบัติกับนิโรธสมาบัติก็มีข้อแตกต่างกัน ทั้งนี้เพราะทั้ง ๒ สมาบัติต่างดับสัญญาเวทนาด้วยกันเหลือแต่ร่างกายไว้เท่านั้น (ฝ่ายเถราวทก็ถือว่าอสัญญีสัตว์ นามธาตุดับหมดไม่เหลือ จึงถูกฝ่ายโยคาจารค้านด้วย)
อาลยวิญญาณ
วิญญาณที่ ๘ ชื่อว่า อาลยวิญญาณ ที่ได้ชื่อดังนี้ก็เพราะเป็นสภาพถูกยึดจากกลิศตมโนว่าเป็นตัวตน อาลยวิญญาณก็คือ ตัวภวังคจิต ในบาลีอภิธรรมนั่นเอง มีชื่อเรียกต่างๆ กัน เช่น จิต สรวพีชวิญญาณ อทานวิญญาณ ปัจจุบันวิญญาณ มูลวิญญาณ วิปากวิญญาณ เป็นต้น ฝ่ายโยคาจารได้สร้างปรัชญาวิชญาณวาทิน (Idealism) ขึ้นจากอาลยวิญญาณนี้ คือ สอนว่า ทุกสิ่งอย่างล้วนแต่เป็นจิต แลออกมาจากจิตทั้งสิ้น อาลยวิญญาณนี้ เป็นมูลกรณะของโลกแลสรรพสิ่งในอภิธรรมสูตร มีคาถาโศลกหนึ่งว่า “อนาทิกาลิโก ธาตุ สรฺวธรฺมสมาศฺรยะ ตสฺมินฺ สติ คติ สรฺวา นิรฺวาณาธิคโมปิ วา” ธาตุที่ไม่มีกาลเบื้องต้น ( คือ อาลยวิญญาณ) เป็นที่อาศัยแห่งธรรมทั้งปวง เมื่อธาตุนั้นมี ก็มีคติทั้งปวง กับทั้งการบรรลุพระนิรวาณด้วย
อาลยวิญญาณเป็นมูลฐานแห่งสรรพสิ่ง ถ้าไร้อาลยวิญญาณนี้แล้ว สรรพสิ่งก็ไม่มี ทั้งนี้ก็เนื่องด้วยสรรพสิ่งเป็นเงาสะท้อนออก หรือพฤติภาพของอาลยวิญญาณนั่นเอง ปรัชญาโยคาจารยุคแรก มีอสังคะ วสุพันธุ ถือว่า สิ่งทั้งปวงเป็นแต่ความคิดของเรา สิ่งทั้งปวงอยู่ในจิตของเรา ครั้นมาถึงยุคหลังสมัยธรรมปาละ ทินนาค ได้สอนต่างๆ ออกไปหน่อย คือ สอนว่า สิ่งที่ดำรงอยู่ภายนอกใจก็เหมือนกัน แต่มูลกำเนิดของมันก็ไม่พ้นไปจากใจได้
พีชในอาลยวิญญาณ
หลักปฏิจจสมุปบาท หรือกฎปัจจยาการถือว่าสิ่งที่เป็นเหตุย่อมมีผล หรือผลย่อมไหลมาแต่เหตุมาแต่เหตุ เป็นหลักพุทธศาสนาทั่วไป ปรัชญาโยคาจารสอนว่า ผลทั้งหลายที่ปรากฏแก่เรา รวมทั้งตัวเราด้วย หรือสังสารวัฏนี้ย่อมไหลมาแต่เหตุของมัน เหตุอันนี้เรียกว่า พีชะ (พืช) มีอยู่ในอาลยวิญญาณ แลเนื่องด้วยสิ่งทั้งหลายในโลกมีผิดแผกแตกต่างไปตามสภาพ เช่น มีกุศลธรรม อกุศลธรรม สาสวธรรม อนาสวธรรม นามธรรม รูปธรรม พีชะก็มีมากมายหลายประเภทตามไปด้วย สิ่งๆ หนึ่งก็มีพีชะของตนหาเหมือนกันไม่ แต่สรุปแล้วคงได้ตามสภาพ คือ กุศลพีชะ อกุศลพีชะ และอัพยากฤตพีชะ หรือจัดเป็นสอง คือ สาสวพีชะกับอนาสวะพีชะ พีชะเทียบได้กับพลังงานที่สามารถก่อให้เกิดผล ไม่ใช่มีรูปลักษณะเช่นกับเม็ดพืชของพันธ์ไม้ พลังงานเหล่านี้เก็บอยู่ในวิญญาณทั้ง ๖ เช่น รูปวิสัย เป็นต้น
ปัญจโคตร
ปรัชญาโยคาจารได้แบ่งสภาวะของสัตว์ทั้งปวงออกเป็นโคตร เรียกว่า ปัญจโคตร ปัญจโคตรนี้เป็นธรรมฐิติ ธรรมนิยาม มีอยู่โดยธรรมชาติ นับแต่การเบื้องต้นไม่ปรากฏ คือ
๑. สาวกโคตร สัตว์ผู้มีสาวกโคตรมีสาวกพีชะอยู่บรรลุได้ก็เพียงแต่อรหันตภูมิเป็นอย่างสูง
๒. ปัจเจกโคตร สัตว์ผู้มีปัจเจกพีชะ บรรลุได้แต่เพียงปัจเจกภูมิ ทั้ง ๒ พวกนี้ละได้แค่กิเลสสารวณะ แต่ยังละธรรมาวรณะไม่ได้
๓. โพธิสัตวโคตร สัตว์ผู้มีโพธิสัตว์พีชะหรืออนุตตรสัมโพธิพีชะ บรรลุถึงโพธิสัตว์ภูมิ พุทธภูมิ ละกิเลสาวรณะ และธรรมาวรณะได้เด็ดขาด
๔. อนิยตโคตร สัตว์ผู้มีทั้งสาวกพีชะ ปัจเจกพีชะ โพธิสัตวพีชะ อาจบรรลุสาวกภูมิ ปัจเจกภูมิ สัมมาสัมพุทธภูมิได้ สุดแล้วแต่ปณิธาน
๕. อิจฉันติกโคตร สัตว์ผู้ไม่มีพีชะแห่งการบรรลุอริยภูมิทั้ง ๓ เพราะไม่มีอนาสวพีชะเลย จึงไม่อาจละกิเลสวรณะ ธรรมาวรณะได้ บรรลุได้ก็แต่โลกิยสมบัติมีสวรรค์ มนุษย์ เป็นต้น จะบรรลุโลกุตตรภูมิไม่ได้เลย
ปัจจัย ๔
๑. เหตุปัจจัย ได้แก่ พีชะของธรรมๆ หนึ่งเป็นเหตุโดยตรงก่อนเกิดธรรมนั้นๆ ขึ้น
๒. อนันตรปัจจัย ได้แก่ จิต เจตสิก ย่อมเกิดดับสืบเนื่องเป็นขณะ ขณะหน้าดับ ขณะหลังเกิดติดต่อกันเรื่อยไปไม่มีระหว่าง
๓. อารัมณปัจจัย ได้แก่ ทัศนภาคของจิต ถือเอาลักษณภาคของจิตเป็นอารมณ์
๔. อธิปติปัจจัย ได้แก่ ธรรมที่ส่งเสริมแก่กัน และกันให้ยิ่งๆ ขึ้นไปให้สำเร็จ เช่น พีชะเป็นเหตุปัจจัยแก่ต้นไม้ แสงแดดการรดน้ำพรวนดินให้ปุ๋ย ก็เป็นอธิปติปัจจัยแก่ต้นไม้นั้น
ทั้ง ๔ ปัจจัยนี้ รูปธรรมบังเกิดขึ้น อาศัยเหตุปัจจัย และอธิปติปัจจัย ๒ อย่าง ส่วนนามธรรม มีจิตเจตสิกเกิดขึ้นต้องอาศัยปัจจัยครบทั้ง ๔ ( บาลีอภิธรรมสอนปัจจัย ๒๔ )
ปฏิจจสมุปบาท ๑๒
โยคาจารจัดระเบียบปฏิจจสมุปบาทออกเป็นเหตุและผลดังนี้ อวิชชา สังขาร วิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา อุปาทาน ภพ = เหตุ ชาติ ชรามรณะ = ผล
ไตรสภาวะ
ทฤษฎีไตรภาวะ นับเป็นหลักการสำคัญยิ่งของฝ่ายโยคาจาร และเป็นปัญหาข้อโต้เถียงกับฝ่ายมาธยมิกที่เผ็ดร้อนยิ่ง สภาวะทั้ง ๔ คือ
๑. ปริกัลปิตลักษณะ คือ สภาวะที่หลงผิด ยึดถือในสิ่งทั้งหลายที่ปราศจากตัวตนว่าเป็นตัวตน ที่ไม่เที่ยงแท้ว่า เที่ยงแท้ ที่ไม่มีอยู่จริงว่ามีอยู่จริง อุปมาดังบุคคลเดินไปในที่มืด เหยียบถูกเชือกเข้าสำคัญว่างู ความสำคัญผิดคิดว่าเชือกเป็นงูนี้ เรียกว่า ปริกัลปิตลักษณะ
๒. ปรตันตรสภาวะ ได้แก่ สังขตธรรมต่างๆ มีจิต เจตสิก รูป เป็นต้น ย่อมเกิดมาจากเหตุปัจจัยเป็นปัจจัยนั้น คือ เหตุปัจจัย อนันตรปัจจัย อารัมมณปัจจัย อธิปติปัจจัย นั่นเอง
๓. ปริณิษปันนสภาวะ ได้แก่ อสังขตธรรมมีพระนิวารณ สภาพปรมัตถ์ของสรรพสิ่ง คือ สภาพของสังขตธรรมที่ต้องเป็นทุกขํ อนิจฺจํ อนตฺตา ( เป็นทุกข์ คือ ต้องแปรปรวน ไม่เที่ยงคงทน และไม่มีตัวตน ) กับสภาพของอสังขตธรรมที่เป็นอนัตตาอย่างเดียว ( ทั้งนี้เพราะอสังขตธรรมพ้นจากการปรุงแต่ง จึงไม่เป็นทุกขํ และไม่เป็นอนิจฺจํ แต่เป็นอนัตตา ) สภาพสัจจปรมัตถ์ที่ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตานี้ เป็นธรรมฐิติ ธรรมนิยาม ไม่มีใครก่อตั้งหรือมีสิ่งใดมาปรุงแต่ง ไม่อาจกลับกลายเปลี่ยนเป็นอื่นไปได้
จตุรญาณ
ฝ่ายโยคาจารสร้างทฤษฎีจตุรญาณ คือ ญาณทั้ง ๔ มี
๑. กฺฤตยานุษฺฐานชฺญาณ (เซ้าซอจักตี) ได้แก่ ญาณของบุคคลผู้สามารถเปลี่ยนปัญจวิญญาณ ที่ประกอบด้วยสาสวธรรม ให้เป็นอนาสวธรรมขึ้น
๒. ปฺรตฺยเวกฺษณชฺญาณ (เมี่ยวกวงฉักตี่) ได้แก่ ญาณของบุคคลผู้สามารถเปลี่ยนมโนวิญญาณ ที่ประกอบด้วยสาสวธรรม ให้เป็นอนาสวธรรมขึ้น
๓. สมตาชฺญาณ (เพ่งเต้งแส่ตี่) ได้แก่ ญาณของบุคคลผู้สามารถเปลี่ยนกลิศตมโนวิญญาณ ที่ประกอบด้วย สาสวธรรม ให้เป็นอนาสวธรรมขึ้น
๔. อาทรฺศนชฺญาณ (ไต้อี้เกี้ยตี่) ได้แก่ ญาณของบุคคลผู้สามารถเปลี่ยนอาลยวิญญาณ ที่ประกอบด้วยสาสวธรรม ให้เป็นอนาสวธรรมขึ้น
ญาณทั้ง ๔ บังเกิดขึ้นแล้ว กิเลสอวิชชาทั้งหลายที่เป็นไปในวิญญาณทั้ง ๘ ก็ไม่มี บุคคลนั้นได้บรรลุวิมุตติแล้ว
ฝ่ายโยคาจารได้จัดระเบียบแสดงธรรมของพระพุทธองค์ออกเป็น ๓ กาล คือ
๑. ปฐมกาล พระพุทธองค์เทศนาอัสติธรรม คือ เทศนาอริยสัจ ๔ ปฏิจจสมุปบาท ๑๒ เทศนาหลักธรรมฝ่ายสาวกยาน
๒. มัชฌิมกาล พระพุทธองค์เทศนาศูนยตธรรม คือ เทศนาคติศูนยตาตามนัยมาธยมิกแก่ฝ่ายมหายาน
๓. ปัจฉิมกาล พระพุทธองค์เทศนาหลักธรรมขั้นอันติมะที่แท้จริง คือ เทศนาหลักธรรมในฝ่ายโยคาจาร ซึ่งถือว่าเป็นมัชฌิมาปฏิปทา ไม่ติดทั้งอัตถิตา และนัตถิตา คือ ไม่ติดในความมีหรือความมีหรือความไม่มี ฉะนั้น ปรัชญาโยคาจารจึงสูงกว่าฝ่ายมาธยมิก นี่เป็นวาทะของสาวกฝ่ายโยคาจาร
เสถียร โพธินันทะ. ปรัชญามหายาน, พิมพ์ครั้งที่ ๕ , กรุงเทพฯ: มหากุฏราชวิทยาลัย,๒๕๔๘.นาคารชุน พระจิตติเทพ ฌานวโร เขียน ๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๓,๒๒.๐๓ น.

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553

นิกายตรีศาสตร์ หรือซาหลุงจง

ประวัติความเป็นมา
นิกายนี้อาศัยศาสตร์ ๓ ปกรณ์ คือ มาธยมิกศาสตร์ ศตศาสตร์ และทวาทศนิยายศาสตร์ รวมกันเป็นชื่อของนิกาย อาจารย์นาคารชุนเป็นปฐมาจารย์แห่งนิกายนี้ (บ้างว่า พระมัญชุศรีโพธิสัตว์) ท่านเป็นผู้ตั้งทฤษฎีศูนยตวาทิน อรรถาธิบายหลักปัจจยาการ และอนัตตาของพระพุทธองค์โดยวิถีใหม่ คัมภีร์ที่ท่านรจนามีจำนวนมาก แต่ที่มีชื่อเสียงที่สุดก็คือ มาธยมิกศาสตร์ และมหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์ มาธยมิกศาสตร์นอกจากประกาศแนวทฤษฎีศูนยตาแล้ว ยังได้วิพากย์นานามติเชนไว้ด้วย อรรถกถาของศาสตร์นี้มีผู้แต่งกันไว้มาก ฉบับที่แปลสู่พากย์จีนมี ๒ ฉบับ เป็นของนีลเนตร และของภาววิเวก ส่วนคัมภีร์ศตศาสตร์นั้นเป็นของอาจารย์เทวะ เป็นหนังสือวิพากย์ปรัชญาฮินดูทั้งเวทานตะ สางขยะ ไวเศษิกนะ นยายะ โยคะ และเชน ไว้อย่างถึงพริกถึงขิง เผยให้เห็นความเป็นเลิศเด่นของพระพุทธ คัมภีร์ที่ ๓ นั้นเป็นของอาจารย์นาคารชุนจัดเป็นหนังสือเบื้องต้นสำหรับศึกษาปรัชญาศูนยตวาทิน เนื่องด้วยอาจารย์นาคารชุนได้ยกและกอบกู้ฐานะของพุทธศาสนาให้รุ่งโรจน์ ประกอบทั้งความเป็นบรมปราชญ์ปราดเปรื่องของท่าน พุทธศาสนิกชนมหายานทุกๆ นิกายยกย่องท่านในฐานะคุรุผู้ยิ่งใหญ่เสมอ ปรัชญาศูนยตวาทินได้แผ่เข้าไปในประเทศจีนโดยกุมารชีพ กล่าวกันว่า กุมารชีพเป็นศิษย์ร่ำเรียนปรัชญานี้ กับเจ้าชายสูรยโสมะแห่งยารกานต์ ผู้ซึ่งได้ศึกษาถ่ายทอดจากนีลเนตร ศิษย์ของราหุละ และราหุละได้ศึกษาโดยตรงจากอาจารย์เทวะทีเดียว กุมารชีพแปลปกรณ์ ๓ ที่นครเชียงอานและบรรดาสานุศิษย์รูปเอกๆ ของกุมารชีพหลายรูปได้เทศนาสั่งสอนปรัชญานี้ให้แพร่หลาย ตกถึงแผ่นดินซุ้ยมีคันถรจนาจารย์ผู้หนึ่งชื่อกิกจั๋ง ได้แต่งอรรถกถาศาสตร์ทั้ง ๓ เป็นภาษาจีน ทำให้นิกายนี้เจริญถึงขีดสูงสุด ครั้นเข้ายุคราชวงศ์ถังเมื่อท่านติปิฏกธราจารย์เฮี่ยงจังประกาศปรัชญาวิชญาณวาทินอยู่ เลยทำให้รัศมีฝ่ายศูนยตวาทินอับลงตราบเท่าทุกวันนี้
คัมภีร์ที่สำคัญ
๑. มาธยมิกศาสตร์ (ตงหลุง) ของพระนาคารชุน
๒. ทวาทศนิกายศาสตร์ (จับยี่มึ่งหลุง) ของพระนาคารชุน
๓. ศตศาสตร์ (แปะหลุง) ของพระอารยเทวะ
๔. มหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์ (ไต้ตี้โต่หลุง) ของพระนาคารชุน ทั้ง ๔ ศาสตร์นี้ กุมารชีพแปล
๕. กรตลรัตนศาสตร์ (เจียงเตียงหลุง) ของภาววิเวก
๖. อรรถกถาแห่งศาสตร์ทั้ง ๓ ของคันถรจนาจารย์กิกจั๋ง
๗. พระสูตรในหมวดปรัชญาปารมิตา มีมหาปรัชญาปารมิตาสูตร เป็นต้น
หลักธรรม
อาจารย์นาคารชุนได้ประกาศทฤษฎีศูนยตวาทินด้วยอาศัยหลักปัจจยาการ และอนัตตาของพระพุทธองค์เป็นปทัฏฐาน ท่านกล่าวว่า สังขตธรรม อสังขตธรรม มีสภาพเท่ากัน คือ สูญ (สรฺวมฺ ศูนฺยมฺ) ไม่มีอะไรที่มีอยู่เป็นอยู่ด้วยตัวของมันเองได้อย่างปราศจากเหตุปัจจัยปรุงแต่ง แม้กระทั้งพระนิวราณ เพราะฉะนั้น อย่าว่าแต่สังขตธรรมเป็นมายาไร้แก่นสารเลย พระนิรวาณก็เป็นมายาด้วย สิ่งที่อาจารย์นาคารชุนคัดค้านปฏิเสธก็คือ สิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวมันเอง ทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นอยู่โดยสมมติหรือปรมัตถ์ ก็สิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเองอยู่นั้น กินความหมายกว้าง รวมทั้งอาตมันหรืออัตตาอยู่ด้วย แต่เรื่องอาตมัน พระพุทธศาสนาทุกนิกาย (ยกเว้นพวกนิกายวัชชีบุตรและพวกจิตสากล) ก็ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด ไม่ยอมให้มีเหลือเศษอะไรอยู่แล้ว แต่ตามทัศนะของอาจารย์นาคารชุน ท่านคณาจารย์เหล่านั้นถึงแม้ปฏิเสธความมีอยู่ด้วยตัวมันเองเพียงแต่อาตมันเท่านั้น แท้จริงยังไปเกิดอุปทานยึดสิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวมันเองในขันธ์ ธาตุ อายตนะ พระนิรวาณว่ามีอยู่ด้วยตัวของตัวเองอีก เห็นว่ามีกิเลสที่จะต้องละ และมีพระนิรวาณที่จะบรรลุ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิด นาคารชุนกล่าวว่า สิ่งที่เราเข้าใจว่ามันเป็นจุดสิ่งสุดท้ายที่มีอยู่ได้ด้วยตัวมันเองนั้น แท้จริงก็เกิดจากปัจจัยอื่นอีกมากหลายปรุงแต่งขึ้น เมื่อสิ่งทั้งหลายไม่มีภาวะอันใดแน่นอนของตัวเองเช่นนี้ สิ่งเหล่านั้นก็เป็นดุจมายา สิ่งใดเป็นมายา สิ่งนั้นก็ไร้ความจริง จึงจัดว่าสูญ นาคารชุน อธิบายว่า สิ่งที่มีอยู่ด้วยตัวของมันเอง ย่อมบ่งถึงความเป็นอิสระ ไม่ขึ้นอยู่กับสิ่งอื่น จะเปลี่ยนแปลงมีได้ ซึ่งถ้าหากเป็นเช่นนั้น ก็เป็นการขัดต่อกฎปัจจยาการของพระพุทธศาสนา เพราะตามกฎแห่งเหตุปัจจัย สิ่งทั้งปวงย่อมต่างอาศัยเหตุปัจจัยจึงมีขึ้นเป็นขึ้น มิได้มีสิ่งหนึ่งสิ่งใดเป็นอยู่โดยโดดเดียว ดังนั้นถ้าถือว่ามีสิ่งที่เป็นอยู่ด้วยตัวมันเองโดดเดี่ยวเช่นนี้ ย่อมจัดเข้าเป็นฝ่ายสัสสตทิฏฐิไป อนึ่ง ถ้ามีความเห็นว่าทั้งปวงขาดสูญปฏิเสธต่อบาปบุญคุณโทษเล่า ก็เป็นอุจเฉททิฏฐิ หลักธรรมฝ่ายศูนยตวาทินจึงไม่เป็นทั้งฝ่ายสัสสตทิฏฐิ ก็เพราะแสดงถึงแก่นความจริงว่า สรฺวมฺ ศูนฺยมฺ ด้วยความที่ไร้ภาวะที่โดดเดี่ยวโดยตัวมันเอง และไม่เป็นทั้งอุจเฉททิฏฐิหรือนัตถิกทิฏฐิ ก็เพราะแสดงว่า สิ่งทั้งปวงอาศัยเหตุปัจจัย เป็นดุจมายามีอยู่โดยสมมติบัติญัติ ด้วยประการฉะนี้
อย่างไรก็ดี แม้ปรัชญาของมาธยมิกจะเป็นหลักศูนยตาเช่นนี้ และศูนยตาตามทัศนะของมาธยมิก มิใช่ชนิดที่ทอนสิ่งหยาบไปหาสิ่งย่อยๆ เช่น ทอนจากอาตมันเป็นขันธ์ ๕ ทอน จากขันธ์ ๕ เป็นธาตุ ทอนจากธาตุเป็น ฯลฯ เช่น นิกายอื่นๆ ศูนยตาของมาธมิก หมายถึง ความเป็นมายาทั้งสังขตะอสังขตะไม่มีอะไรที่จะเป็นตัวยืนให้สมมติบัญญัติเลย แต่เมื่อปรัชญามาธยมิกแพร่เข้าสู่ประเทศจีน คณาจารย์จีนซึ่งมีความนิยมภูตตถตาวาทิน ตลอดจนเก่งกาจในทางสมานความคิดระหว่างศูนยตวาทินกับอัสติวาทิน ก็แปลความหมายของอาจารย์นาคารชุนเสียว่า ที่มาธยมิกกล่าวว่า ทุกสิ่งเป็นศูนยตานั้นก็เพื่อจะให้เรารู้จักสภาวะที่ไม่สูญ คือ ภูตตถตาอันอยู่นอกเหนือสมมติบัญญัติ และเพื่อให้เราละยึดถือเพื่อให้บรรลุถึงสิ่งที่มิรู้แตกดับหักสูญต่างหาก ซึ่งคล้ายกับมติของพระอาจารย์บางท่านในประเทศไทยว่า พระพุทธองค์สอนอนัตตาก็เพื่อให้เราค้นพบอัตตาที่แท้จริง ซึ่งกลายเป็นตกสู่ความเป็นคู่ คือ อัตถิตา นัตถิตาไป พระนิวารณถ้ากล่าวตามคลองบัญญัติแล้วฝ่ายมาธยมิกว่า พ้นจากภาวะและอภาวะนั่นแหละ คือ พระนิรวาณ

อ้างอิง: เสถียร โพธินันทะ.ปรัชญามหายาน,พิมพ์ครั้งที่ ๕, กรุงเทพฯ: มหากุฏราช
วิทยาลัย,๒๕๔๘.
พระจิตติเทพ ฌานวโร เรียบเรียงรายงาน ๐๙.๓๖ น. ๒ มิถุนายน ๒๕๕๓.

นาคารชุน

นิกายเซน หรือธฺยาน หรือเซี้ยงจง

ประวัติของนิกาย
นิกายนี้ ภาษาแต้จิ๋วเรียกว่า เซี้ยงจง แต่เนื่องด้วยคนไทยเราทราบชื่อนิกายนี้ตามภาษาญี่ปุ่นมาว่า นิกายเซน ซึ่งเป็นมูลศัพท์เดียวกัน จึงเรียกตามญี่ปุ่นด้วย พุทธาศาสนิกชนสังกัดนิกายนี้กล่าวว่า หลักธรรมแห่งนิกายนี้ มีสมุฏฐานโดยตรงมาจากภาวะความตรัสรู้อย่างแจ่มแจ้งของพระพุทธองค์ภายใต้ต้นโพธิพฤกษ์ ต่อมาในปี ๔๙ แห่งการภายหลังแต่ตรัสรู้ พระพุทธองค์ได้ชูดอกไม้ขึ้นดอกหนึ่งท่ามกลางพุทธบริษัทแทนคำเทศนาอันยืดยาว แต่ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดเข้าใจในความหมาย นอกจากพระมหากัสสปะผู้เดียวซึ่งยิ้มน้อยๆ อยู่ พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ดูก่อนกัสสปะ ตถาคตมีธรรมจักษุครรภ์อันถูกตรงและนิพพานจิต ลักษณะที่แท้จริงย่อมไม่มีลักษณะเธอพึงรักษาไว้ด้วยดี พระพุทธวจนะนี้เป็นบ่อเกิดของนิกายเซน และพระมหากัสสปะก็ได้เป็นปฐมาจารย์ของนิกายด้วยกล่าวกันว่า ในอินเดียมีคณาจารย์ของนิกายเซนซึ่งสืบเนื่องกันไม่ขาดสาย โดยการมอบหมายตำแหน่งให้กันถึง ๒๘ รูป จนถึงพระโพธิธรรมเป็นองค์ที่ ๒๘ พระโพธิธรรม (พู่ที้ตับม๊อ) ท่านได้จาริกมาสู่ประเทศจีนในราวกลางพุทธสตวรรษที่ ๑๐ ได้เข้ามาพบสนทนาธรรมกับพระเจ้าเหลียงบูเต้ แห่งราชวงศ์เหลียง แต่ทัศนะไม่ตรงกัน พระโพธิธรรมจึงได้ไปพำนักที่วัดเซียวลิ่มยี่ ณ ภูเขาซงซัว นั่งสมาธิผินหน้าเข้าฝาอยู่ถึง ๙ ปี และได้มอบหมายธรรมให้แก่ฮุ้ยค้อสำเร็จเป็นนิกายเซนขึ้น โดยที่ท่านเป็นปฐมาจารย์ของนิกายนี้ในประเทศจีน คณาจารย์ฮุ้ยค้อเป็นทุติยาจารย์ ฮุ้ยค้อได้มอบธรรมให้แก่เจ็งชั้น เจ็งชั้นให้แก่เต้าสิ่งถึงคณาจารย์เต้าสิ่งซึ่งนับเป็บองค์ที่ ๔ นิกายเซนแบ่งออกเป็น ๒ สำนัก คือ สำนักของคณาจารย์ฮ่งยิ่ม เรียกว่า สำนักอึ้งบ้วย ซึ่งถือกันว่าเป็นสำนักที่สืบเนื่องมาโดยตรง และสำนักของคณาจารย์ฮวบย้ง เรียกว่า สำนักงู่เท้า ซึ่งเป็นสำนักแฝงเท่านั้น คณาจารย์ฮ่งยิ่มสำนักอึ้งบ้วยเป็นปัญจมาจารย์ของนิกายเซน ต่อมานิกายเซนแห่งจีนก็เกิดแตกออกเป็น ๒ สำนักเหมือนกัน สำนักแรกถือกันว่าเป็นสำนักสืบเนื่องมาจากฮ่งยิ่มโดยตรง ผู้เป็นคณาจารย์ชื่อ ฮุ้ยเล้ง สำนักนี้อยู่ทางใต้ของจีน แพร่หลายไปทั่วจีนใต้ อีกสำนักหนึ่งผู้เป็นคณาจารย์ก็เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์เดียวกับท่านฮุ้ยเล้งเหมือนกันชื่อ สิ่งซิ่ว ตั้งตั้งสำนักอยู่ที่จีนเหนือ มูลเหตุแห่งการแยกนั้น เราดูจากโศลกคาถาของท่านทั้ง ๒ รูปก็จะเห็นชัด คราวหนึ่งคณาจารย์ฮ่งยิ่มประกาศว่าจะมอบหมายตำแหน่งให้แก่ศิษย์ แล้วให้ศิษย์ทั้งหลายไปเขียนโศลกคาถาตามปัญญาของตนมาให้ดู เพื่อจะสอบว่าความรู้ของผู้ใดจะสูง
ท่านสิ่งซิ่วเขียนโศลกว่าดังนี้
ซินยู่พู่ที่ซิ่ว กายนี้อุปมาเหมือนต้นโพธิ์
ซิมยู่เม่งเกี้ยไท้ ใจนี้อุปมาเหมือนกระจกเงา
ซีซีขึ่งฮุกซิก จงหมั่นขัดหมั่นปัดเสมอ
ไม่ไซเยี่ยติ้นอาย อย่าให้ฝุ่นละอองจับคลุมได้
ส่วนโศลกของท่านฮุยเล้ง (ตามประวัติว่าท่านไม่รู้หนังสือขอร้องให้คนอื่นเขียนตามคำบอกของท่าน)
พู่ที่ปุ้งฮุยซิ่ว ต้นโพธิ์นี้เดิมมิใช่เป็นต้นโพธิ์
เม่งเกี่ยเอี่ยฮุยไท้ กระจกเงาเดิมก็มิใช่กระจก
ปุ้งไล้ม่อเจ๊กม้วย แต่เดิมไม่มีอะไรสักอย่าง
ฮ่อชู่เยียติ้งอาย แล้วจะถูกฝุ่นละอองจับคลุมที่ตรงไหน
ความในโศลกของท่านฮุ้ยเล้งลึกซึ่งกว่า จึงได้รับตำแหน่ง อนึ่ง ด้วยทัศนะของคณาจารย์ทั้ง ๒ ต่างกันเช่นนี้ วิธีปฏิบัติจึงพลอยต่างกัน สำนักเหนือมีวิธีปฏิบัติเป็นไปโดยลำดับ ส่วนสำนักใต้ปฏิบัติอย่างฉับพลัน เรียกว่า น้ำตุ้งปักเจี๋ยม แปลว่า ใต้เร็ว เหนือลำดับ
อนึ่ง ต่อมาสำนักนี้ได้แตกแยกออกเป็นแขนงอีกหลายแขนง ที่สำคัญมี ๕ คือ สำนักนิ่มชี้ เช่าตั้ง อุ้ยเอี้ยง และสำนักฮวบงั้ง ๕ สำนักนี้ สำนักนิ่มชี้แพร่หลายที่สุด จนถึงในยุคพุทธศตวรรษที่ ๒๕ นี้
คัมภีร์ที่สำคัญ
ความจริงนิกายเซนถือว่าเป็นคำสอนพิเศษ เผยแผ่ด้วยวิธีใจสู่ใจ ไม่อาศัยตัวหนังสือหรือการอธิบาย แต่เนื่องด้วยอินทรีย์ของสัตว์มีสูงต่ำ นิกายนี้จึงจำต้องอาศัยหนังสือ และคำพูดมาเป็นส่วนประกอบ ซึ่งถือว่าเป็นเพียงอุบายวิธีเท่านั้น ฉะนั้น คัมภีร์ของนิกายนี้จึงมีมากไม่แพ้นิกายอื่น คัมภีร์ที่เป็นหลัก คือ
๑. ลังกาวตารสูตร (เลงแคเก็ง) คุณภัทระแปล และฉบับแปลของโพธิรุจิ ศิกษานันทะอีก ๒ ฉบับ
๒. วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร (กิมกังปัวเยียกปอล่อมิกเก็ง) กุมารชีพแปล
๓. วิมลกีรตินิทเทศสูตร (ยุยม่อเคียกซ่อส้วยเก็ง) กุมารชีพแปล
๔. มหาไพบูลยสมันตโพธิสูตร (ไต้ฮวงก้วงอี้กักเก็ง) พุทธตาระแปล
๕. ศูรางคมสมาธิสูตร (ซิงเล่งเงี้ยมซาม่วยเก็ง) สูตรนี้สงสัยกันว่าชาวจีนแต่งขึ้นเอง ในพระไตรปิฎกจีนมีอีกสูตรหนึ่งชื่อเหมือนกัน แต่ไม่พิสดารดังสูตรนี้
๖. ลักโจ๊วไต้ซือฮวบป้อตั้วเก็ง ซึ่งเป็นปกรณ์สำคัญที่สุด กล่าวถึงประวัติของคณาจารย์ฮุ้ยเลง และภาษิตของท่าน
๗. ซิ่งซิมเม้ง (จารึกสัทธาแห่งจิต) ของคณาจารย์เจงชั้ง
๘. จวยเสี่ยงเสงหลุง (อนุตตรยานศาสตร์) ของคณาจารย์ฮ่งยิ่ม
๙. จงเกี้ยลก (บันทึกกระจกแห่งนิกาย) รวบรวมโดยเอี่ยงซิว
๑๐. ม่อมึ่งกวง (ด่านที่ไม่มีประตู) ของจงเสียว
๑๑. นั้งเทียนงั่งมัก (จักษุแห่งเทพยดาแลมนุษย์) ของตี้เจียว
๑๒. ตุ้งหงอยิบเต๋าฮวบมึ้ง (ประตุวิถีแห่งการเข้าถึงธรรมอย่างฉับพลัน) เป็นหนังสือถามตอบอย่างง่ายแก่การเข้าใจ นอกจากนี้ ยังมีบรรดาอาจริยภาษิตของคณาจารย์ต่างๆ แห่งนิกายเซนอีกมาก
หลักธรรม
นิกายนี้ถือว่าสัจภาวะ ย่อมอยู่เหนือการพูด การคิด เราจะค้นสัจธรรมในหนังสือพระไตรปิฎกย่อมไม่พบ นอกจากเราจะต้องหันมาบำเพ็ญดูจิตใจของตนเอง เพราะความจริงเราจะหาได้ภายในตัวเรานี้เอง จะไปค้นหาภายนอกไม่ได้ นิกายนี้จึงว่า ปุกลิบบุ้นยี่ แปลว่า ไม่ต้องอาศัยตัวหนังสือเป็นรากฐานหรอก ติกจี้นั้งซิม แปลว่า แต่ชี้ตรงไปยังใจของคน นิกายนี้มีปรัชญาว่า
สรรพสิ่งในโลกนี้ล้วนมีอมตจิตเป็นมูลการณะ สิ่งทั้งหลายเป็นปรากฎการณ์ของอมตภาวะนี้เท่านั้น อมตภาวะนี้มีอยู่ทั่วไปในสรรพชีวะทั้งหลาย อมตภาวะนี้แผ่ครอบคลุมทั่วทุกหนแห่งไม่มีขีดจำกัด และสรรพสิ่งจึงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันเรียกว่าชีวิตเป็นหนึ่ง คือ มีมูลภาวะอันเดียวกัน อมตภาวะนี้ก็คือ จิตของเรานั้นเอง แต่เป็นแก่นอันแท้จริงของจิตของเราจิตนั้นไม่เกิดดับ ที่เกิดดับเป็นเพียงปรากฎการณ์ซึ่งเป็นมายาหาใช่ภาวะจิตที่แท้จริงไม่ ลักษณะของจิตนี้เป็นอย่างไร ดังคำอธิบายของท่านอาจารย์เซนองค์หนึ่งของญี่ปุนว่า มหึมาจริงหนอ เจ้าจิต ฟ้าที่สูงไม่อาจประมาณถึงสุดได้แล้ว แต่จิตก็อยู่พ้นฟ้านั้นขึ้นไปอีก แผ่นดินที่หนาไม่อาจวัดได้ แต่จิตก็อยู่พ้นแผ่นดินนั้นลงไป แสงสว่างของดวงอาทิตย์ดวงจันทร์ไม่อาจข้ามได้ แต่จิตก็อยู่พ้นแสงสว่างของดวงอาทิตย์ดวงจันทร์นั้นไปอีก โลกธาตุทั้งปวงอันมีปริมาณดุจเม็ดทรายไม่มีที่สิ้นสุด แต่จิตก็อยู่นอกเหนือจักรวาลทั้งหลายนั้นไปอีก จะว่าเป็นอวกาศหรือจะเป็นภาวะธาตุหรือจิตนี้ครอบงำอวกาศทรงไว้ซึ่งภาวะธาตุเดิม อาศัยตัวของเรา ฟ้าจึงครอบจักรวาลแลดินจึงรองรับ (จักรวาล) อาศัยตัวเรา ดวงอาทิตย์แลดวงจันทร์จึงหมุนเวียนไป อาศัยตัวเรา ฤดูทั้ง ๔ จึงมีการเปลี่ยนแปลง และอาสัยตัวเรา สรพสิ่งจึงอุบัติขึ้น มหึมาจริงนะ เจ้าจิตนี่ข้าจำเป็นต้องให้นามบัญญัติเจ้าละว่า เอกปรมัตถสัจจะ หรือปรัชญาสัจลักษณ์ หรือเอกสัตยธรรมธาตุ หรืออนุตตรสัมโพธิ หรือศูรางคมสมาธิ หรือสัมมาธรรมจักษุครรภ์ หรือนิพพานจิต
นิกายเซนถือว่าพระพุทธองค์กับสรรพสัตว์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เพราะจิตธาตุอันนี้ ดังภาษิตของคณาจารย์เซนอึ้งเพก กล่าวว่า พระพุทธเจ้าทั้งหลายกับสรรพสัตว์ ต่างมีจิตเดียวกัน ไม่มีสิ่งอะไรต่างหาก จิตนี้นับตั้งแต่กาลเบื้องต้นอันไม่ปรากฏ ก็ไม่เคยเกิด ไม่เคยดับ ไม่เป็นสีเขียวสีเหลือง ไม่มีรูป ไม่มีลักษณะ ไม่อยู่ในวงว่ามีหรือไม่มี ไม่เป็นของใหม่หรือของเก่า ไม่ยาวไม่สั้น ไม่ใหญ่ไม่เล็ก อยู่พ้นการประมาณวัดทุกอย่าง พ้นชื่อเสียงเรียงนาม พ้นร่องรอย และความเป็นคู่ คือ สภาพในเดี๋ยวนี้ ถ้าเกิดมีอารมณ์หวั่นไหวขึ้นก็ต้องไป (น้ำทะเลเกิดคลื่น) จิตนี้เหมือนอากาศ ไม่มีขอบเขต ไม่อาจวัดได้ จิตดวงเดียวนี้แหละ คือ พุทธะ
ซาเซน
พุทธภาวะที่ไม่เกิดแก่เจ็บตายอันมีอยู่ทั่วไป และมีอยู่แก่สรรพสัตว์ทั้งสิ้น และเป็นภาวะบริสุทธิ์มาแต่ดั้งเดิม แต่ปุถุชนถูกอวิชชากำบัง เข้าใจว่าตนนั้นเกิดแก่เจ็บตาย ซึ่งเป็นความหลงผิดนั้น ต้องกำจัดอวิชชานี้ออกไปเสีย ด้วยวิธีทำซาเซน ซึ่งภาษาจีนว่า ชัมเซี้ยง คือ ทำฌานให้เกิด นิกายเซนกล่าวว่า ปัญญากับฌานจะแยกกันมิได้ ฌานที่ไร้ปัญญาก็มิใช่ฌานชนิดโลกุตตระ นิกายเซนมีวิธี เรียกว่า ชัมกงอั่ว หรือภาษาญี่ปุ่นว่า โกอาน ซึ่งแปลกันอย่างเอาความหมายก็คือ การขบปริศนาธรรม อาจารย์เซนจะมอบปริศนาธรรม เช่นว่า สุนัขมีพุทธภาวะหรือไม่หน้าตาดั้งเดิมของเจ้าก่อนพ่อแม่ให้กำเนิดคืออย่างไร สิ่งทั้งปวงรวมเป็นหนึ่งแล้ว หนึ่งจะรวมในที่ใด ผู้ใดเป็นผู้สวดมนต์ภาวนาอยู่นี้ ศิษย์จะนำไปคิดจนกระทั่งขบแตก ซึ่งถือว่าเป็นก้าวแรกแห่งปัญญาที่จะนำตนให้พ้นวัฏสงสารที่เดียว ภูมิธรรม การบรรลุธรรมของนิกายเซนแบ่งออกเป็น ๓ ระยะ คือ
๑. ระยะแรก เรียกว่า ชอกวง หรือปุนชัม ได้แก่ การขบปริศนาธรรมแตก เกิดปัญญาความรู้แจ่มจ้า เห็นภาวะดั้งเดิมอันบริสุทธิ์ปราศจากกิเลสของตนเอง (นี้เทียบด้วยทัสสนมรรค)
๒. ระยะกลาง เรียกว่า เต้งกวง คือ การใช้ปัญญา พละ และในระยะนั้นเอง กำราบสรรพกิเลสให้อยู่นิ่ง เป็นตะกอนน้ำนอนก้นถังอยู่
๓. ระยะหลัง เรียกว่า หมวกเอ้ากวง ตือ การทำลายกิเลสที่เป็นตะกอนนอนก้นนั้นให้หมดสิ้นไม่เหลือเลย

อ้างอิง: เสถียร โพธินันทะ.ปรัชญามหายาน,พิมพ์ครั้งที่ ๕, กรุงเทพฯ : มหามกุฏราชวิทยาลัย,๒๕๔๘.
พระจิตติเทพ ฌานวโว เรียบเรียงรายงาน

นาคารชุน

นิกายย่อยของมหายาน

พุทธศาสนามหายานแตกเป็นนิกายย่อยๆต่างกันไปในแต่ละประเทศดังนี้
ในอินเดีย
นิกายมาธยมิก
นิกายโยคาจาร
นิกายจิตอมตวาท
นิกายตันตระ
ในจีน
นิกายสุขาวดี หรือชิงถู่
นิกายฌาน หรือเซน
นิกายสัทธรรมปุณฑริก หรือเทียนไท้
นิกายซันเฉีย
นิกายฮัวเหยน
นิกายฟาเสียง
นิกายวินัย หรือ หลู่จุง
นิกายเชนเหยน
ในญี่ปุ่น
นิกายเทนได
นิกายชินกอน หรือชินงอน
นิกายโจโด
นิกายเซน
นิกายนิชิเรน
นิกายซานรอน
นิกายฮอสโส
นิกายเคงอน
นิกายริตสุ
นิกายกุชา
นิกายโจฮิตสุ
ในทิเบต
นิกายนิงมะ
นิกายกาจู
นิกายสักยะ
นิกายเกลุก
ในเนปาล
นิกายไอศวาริก
นิกายสวาภาวิก
นิกายการมิก
นิกายยาตริก
มหายานในประเทศไทย
จีนนิกาย
อนัมนิกาย
นิกายนิชิเรน


มหายาน จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี http://th.wikipedia.org/wiki/Mahayana
24 พ.ค.2553 17.08 น. พระจิตติเทพ ฌานวโร

นาคารชุน

คัมภีร์ของมหายาน

พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานมิได้ปฏิเสธ พระไตรปิฎกดั้งเดิม หากแต่ถือว่าอาจยังไม่เพียงพอ เนื่องจากเกิดมีแนวคิดว่า พระพุทธเจ้าทรงเป็นโลกุตรสภาวะ ไม่อาจดับสูญ ที่ชาวโลกคิดว่าพระพุทธองค์ดับสูญไปแล้วนั้นเป็นเพียงภาพมายาของรูปขันธ์ แต่พระธรรมกายอันเป็นสภาวธรรมของพระองค์เป็นธาตุพุทธะบริสุทธิ์ยังดำรงอยู่ต่อไป มหายานถือว่ามนุษย์ทุกคนมี พุทธธาตุ เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า หากมีกิเลสอวิชชาบดบังธาตุพุทธะจึงไม่ปรากฏ หากกิเลสอวิชชาเบาบางลงเท่าใดธาตุพุทธะก็จะปรากฏมากขึ้นเท่านั้น มหายานมีแนวคิดว่ามนุษย์ทุกคนมีสิทธิและมีความสามารถที่จะบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ และสามารถตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ หากฝึกฝนชำระจิตใจจนบริสุทธิ์ผุดผ่องด้วยเมตตาบารมี พระโพธิสัตว์ของฝ่ายมหายานจึงมีมากมาย แม้พระพุทธเจ้าก็มีปริมาณที่ไม่อาจคาดคำนวณได้ และพระโพธิสัตว์ทุกองค์ย่อมโปรดสรรพสัตว์เช่นเดียวกับจริยาของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระโพธิสัตว์จึงมีน้ำหนักเท่ากับพระไตรปิฎก ในพุทธศาสนามหายานจึงมีคัมภีร์สำคัญระดับเดียวกับพระไตรปิฎกเพิ่มขึ้นเป็นอันมาก เพื่อให้เหมาะสมกับจริตและอินทรีย์ของสรรพสัตว์แต่ละจำพวก อีกทั้งเพื่อเป็นกุศโลบายในการสั่งสอนพุทธธรรม ทั้งนี้ก็เพื่อเจตจำนงจะเกื้อกูลสรรพชีวิตทั้งมวลให้ถึงพุทธรรมและบรรลุความหลุดพ้นจากสังสารวัฏ คัมภีร์ของมหายานดั้งเดิมเขียนขึ้นด้วยภาษาสันสกฤต แต่ก็มิใช่สันสกฤตแท้ หากเป็นภาษาสันสกฤตที่ปะปนกับภาษาปรากฤตตลอดจนบาลีและภาษาท้องถิ่นอื่นๆ เรียกว่าภาษาสันสกฤตทางพุทธศาสนา คัมภีร์เหล่านี้กล่าวในฐานะเป็นพระธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าบ้าง คำสอนพระโพธิสัตว์บ้าง หรือแม้แต่ทวยเทพต่างๆ โดยมีเนื้อหาหลากหลาย สันนิษฐานว่าพระสูตรปรัชญาปารมิตา เป็นพระสูตรมหายานรุ่นเก่าที่สุด และได้มีการเขียนพระสูตรขึ้นต่อมาอีกอย่างต่อเนื่องจนถึงสมัยคุปตะ พระสูตรบางเรื่องก็เกิดขึ้นในประเทศจีน และในหมู่คณาจารย์ของมหายานเองก็เขียนคัมภีร์ที่แสดงหลักปรัชญาอันลึกซึ้งของตน เรียกว่าศาสตร์ซึ่งเทียบได้กับอภิธรรมของฝ่ายเถรวาท ที่มีชื่อเสียงคือ มาธยมกศาสตร์, โยคาจารภูมิศาสตร์, อภิธรรมโกศศาสตร์, มหายานศรัทโธตปาทศาสตร์ เป็นต้น นอกจากนี้ในประเทศต่างๆ ที่นับถือมหายาน ก็มีการรจนาคัมภีร์ขึ้นเพื่อสั่งสอนหลักการของตนเองอีกเป็นอันมาก คัมภีร์ของมหายานจึงมีมากมายเท่าๆกับความหลากหลายและการแตกแยกทางความคิดในหมู่นักปราชญ์ของมหายาน
นิกายมหายานเคารพในพระธรรมซึ่งเป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และเคารพในพระไตรปิฎกเช่นเดียวกับเถรวาท จึงมิได้ปฏิเสธพระไตรปิฎก หากแต่ถือว่ายังไม่พอ เนื่องจากเกิดสำนึกร่วมขึ้นมาว่า นามและรูปของพระพุทธองค์เป็น โลกุตตระ ไม่อาจดับสูญ สิ่งที่ดับสูญไปนั้นเป็นเพียงภาพมายา พระธรรมกาย ซึ่งเป็นธาตุอันบริสุทธิ์ยังคงมีอยู่ต่อไป
มนุษย์ทุกคนมีธาตุพุทธะร่วมกับพระพุทธเจ้า ถ้ามีกิเลสมาบดบังธาตุพุทธะก็ไม่ปรากฏ มนุษย์ทุกคนจึงมีศักยภาพที่จะ เป็นพระโพธิสัตว์ได้เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า ถ้าได้รับการฝึกฝนชำระจิตใจจนบริสุทธิ์ พระโพธิสัตว์จึงมีจำนวน มหาศาล และมีหน้าที่ส่งเสริมงานของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระโพธิสัตว์จึงมีน้ำหนักเท่ากับพระไตรปิฎก ด้วยสำนึก เช่นนี้ ฝ่ายมหายานจึงมีคัมภีร์เกิดขึ้นมากมาย และให้ความเคารพเทียบเท่าพระไตรปิฎก
พระวินัยปิฎกมหายาน
แม้นว่ามหายานจะมีทั้งพระวินัย พระสูตร และพระอภิธรรม แต่พระวินัยของมหายานนั้น นอกจากจะมี 250 ข้อแล้ว ยังไม่ได้เป็นหมวดหมู่แบบเถรวาท สังฆกรรมต่าง ๆ ของฝ่ายมหายานต้องใช้คัมภีร์วินัยของสรวาสติวาท ธรรมคุปตะ มหาสังฆิกะ และมหิศาสกะ
สิกขาบทในพระปาฏิโมกข์ 250 ข้อ ของฝ่ายมหายาน มีดังนี้ คือ
ปาราชิก 4
สังฆาทิเสส 13
อนิยต 2
นิสสัคคียปาจิตตีย์ 30
ปาจิตตีย์ 90
ปาฏิเทสนีย์ 4
เสขิยะ 100
อธิกรณสมถะ 7
สิกขาบทของมหายานได้เพิ่มวินัยของพระโพธิสัตว์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่กล่าวไว้ในพรหมชาลสูตร เรียก พรหมชาลโพธิสัตวศีล และ ยคโพธิสัตวศีล ซึ่งอยู่ในคัมภีร์โยคาจารภูมิศาสตร์ปกรณ์พิเศษของนิกายวิชญาณวาทิน และมีข้อที่น่าสังเกตอีกอย่างคือ วินัยของโพธิสัตว์นั้นแม้จะต้องครุกาบัติ เป็นปาราชิกในโพธิสัตว์สิกขาบทก็สามารถ สมาทานใหม่ได้ ไม่เหมือนกับภิกขุปาฏิโมกข์ ซึ่งทำคืนอีกไม่ได้ ทั้งนี้เพราะถือว่าสิกขาบทของภิกขุอยู่ในขอบเขตจำกัด ของปัจจุบันชาติ ส่วนสิกขาบทของโพธิสัตว์นั้นไม่จำกัดชาติ
ดังนั้น กุลบุตรฝ่ายมหายานเมื่ออุปสัมปทากรรมแล้วก็จะต้องรับศีลโพธิสัตว์ ซึ่งส่วนใหญ่นิยมพรหมชาล โพธิสัตว์ศีลมากกว่า โยคะโพธิสัตวศีล และศีลพระโพธิสัตว์นี้ได้ห้ามภิกษุฉันเนื้อสัตว์ ของสดคาว และหัวหอม หัวกระเทียม เพราะสิ่งเหล่านี้ช่วย ส่งเสริมให้เกิดกำหนัดราคะกางกั้นจิตมิให้บรรลุสมาธิ และการกินเนื้อสัตว์นี้อาจกินถูกเนื้อบิดามารดาในชาติก่อน ๆ ของตน ผู้รับศีลโพธิสัตว์จึงต้องถือมังสะวิรัติอย่างเคร่งครัด พระสงฆ์มหายานของจีนได้รับการยอมรับกันว่า ปฏิบัติในข้อนี้ได้เคร่งครัด กว่าพวกมหายานในประเทศอื่น ๆ
ลัทธิมหายานมิได้มีภิกขุปาฏิโมกข์เป็นเอกเทศ คงปฏิบัติวินัยบัญญัติตามพระปาฏิโมกข์ของฝ่ายสาวกยาน แต่มีแปลกจากฝ่ายสาวกยานคือ โพธิสัตวสิกขา เพราะลัทธิมหายานสอนให้มุ่งพุทธิภูมิ บุคคลจึงต้องประพฤติโพธิจริยา มีศีลโพธิสัตวเป็นที่อาศัย วินัยโพธิสัตวนี้สาธารณทั่วไปแม้แก่ฆราวาสชนด้วย มีโพธิสัตวกุศลศีลสูตร 9 ผูก, พุทธ ปิฏกสูตร 4 ผูก, พรหมชาลสูตร (ต่างฉบับกับบาลี) 2 ผูก, โพธิสัตวศีลมูลสูตร 1 ผูก และอื่นๆ อีก พึงสังเกตว่าเรียกคัมภีร์เหล่านี้ว่า ?สูตร? มิได้จัดเป็นปิฎกหนึ่งต่างหาก อรรถกถาพระสูตรของคันถรจนาจารย์อินเดีย
พระสุตตันตปิฎกมหายาน
ชื่อพระสูตรสำคัญของมหายานที่คนส่วนใหญ่รู้จัก รวบรวมจากหนังสือของคณะสงฆ์จีนนิกายมี ดังนี้
ปรัชญาปารมิตา
อวตังสกะสูตร
คัณฑวยุหสูตร
ทศภูมิกสูตร
วิมลเกียรตินิทเทศสูตร
ศูรางคมสมาธิสูตร
สัทธรรมปุณฑริกสูตร
ศรีมาลาเทวีสูตร
พรหมชาลสูตร
สุขาวดีวยุหสูตร
ตถาคตครรภสูตร
อสมปูรณอนุสูตร
อุตรสรณสูตร
มหาปรินิรวาณสูตร
สันธินิรโมจนสูตร
ลังกาวตารสูตร
พระสูตร 42 บท หรือ พระพุทธวจนะ 42 บท ชาวมหายานเชื่อว่าเป็นสูตรแรกที่ได้รับการแปลสู่พากย์จีน โดยท่านกาศยปะมาตังคะ และท่านธรรมรักษ์ เมื่อ พ.ศ. 612 รัชสมัยของพระเจ้าฮั่นเม่งเต้ แห่งราชวงศ์ฮั่น
โมหมาลาหรือร้อยอุทาหรณ์สูตร ซึ่งพระสิงหเสนเถระคัดมาจากนิทานที่ปรากฏในพระสูตร แล้วยกขึ้นมาตั้งเป็นอุทาหรณ์ (คณะสงฆ์จีนนิกายมหายาน. ม.ป.ป. : 225)
ในบรรดาพระสูตรเหล่านี้ ปรัชญาปารมิตาสูตรจัดว่าเป็นสูตรดั้งเดิมที่สุด เป็นมูลฐานทฤษฎีที่ว่าด้วยเรื่องศูนยตา นอกจากนี้ก็มีอวตังสกสูตร เป็นสูตรสำคัญที่สุดของนิกายมหายาน เพราะเป็นพระสูตรที่เชื่อกันว่า พระพุทธองค์ทรง สั่งสอนเองเป็นเวลา 3 สัปดาห์ในขณะที่พระองค์เข้าสมาธิ เข้าใจกันว่า ใจความสำคัญขอ'พระสูตรนี้ น่าจะเป็นของ พระโพธิสัตว์มากกว่า ซึ่งเราจะพิจารณาได้จากข้อความในหนังสือพระพุทธศาสนานิกายมหายานของคณะสงฆ์จีนนิกาย (ม.ป.ป. : 228-229)
นอกจากนี้ก็มีพระสูตรที่สำคัญอีกเช่นกันคือ วิมลเกียรตินิทเทศสูตร ซึ่งเป็นพระสูตรที่มีปรัชญาเป็นมูลฐาน นิกายเซ็น ( Zen ) จึงชอบและนิยมมากที่สุด และพระสูตรที่สำคัญที่สุดซึ่งนิกายมหายานในจีนและญี่ปุ่นนับถือกันมากคือ สัทธรรมปุณฑริกสูตร คำสั่งสอนในนิกายเท็นได นิจิเร็น ล้วนอาศัยพระสูตรนี้เป็นรากฐานทั้งสิ้น และวัดในนิกายเซ็น ก็ต้องสวดพระสูตรนี้เป็นประจำทุกวัน ทั้งนี้เพราะเชื่อกันว่า พระสูตรนี้เป็นพระสูตรสุดท้ายของพระพุทธองค์จึงมีผู้แปลมาก โดยเฉพาะในภาษาจีนมี 3 ฉบับ แต่ที่ถือกันว่าเป็นฉบับที่ดีที่สุด คือ ของท่านกุมารชีพ
พระสูตรมหายานแบ่งเป็นหมวดได้ดังนี้
หมวดอวตังสกะ
หมวดนี้มีพระสูตรใหม่สูตรหนึ่งเป็นหัวใจคือ พุทธาวตังสกมหาไวปุลยสูตร 80 ผูก และมีสูตรปกิณณะย่อยๆ อีกหลายสูตร
หมวดไวปุลยะ
มีพระสูตรใหญ่ชื่อมหารัตนกูฏสูตร 120 ผูก เป็นหัวใจ มหาสังคีติสูตร 10 ผูก, มหายานโพธิสัตว์ปิฎกสูตร 20 ผูก, ตถาคตอจินไตยรหัศยมหายานสูตร 30 ผูก, สุวรรณประภาสสูตร 10 ผูก, กรุณาปุณฑริกสูตร 11 ผูก, มหายานมหาสังคีติกษิติครรภทศจักรสูตร 10 ผูก, มหาไวปุลยมหาสังคีติโพธิสัตวพุทธานุสสติสมาธิสูตร 10 ผูก,จันทร ประทีปสมาธิสูตร 11 ผูก, ลังกาวตารสูตร 7 ผูก, สันธินิรโมจนสูตร 5 ผูก, วิเศษจินดาพรหมปุจฉาสูตร 4 ผูก, อักโษภยพุทธเกษตรสูตร 2 ผูก, ไภษัชยคุรุไวฑูรย์ประภาสปูรวประณิธานสูตร 2 ผูก, ลมโยปมสมาธิสูตร 3 ผูก, ศรีมาลาเทวีสิงหนาทสูตร 1 ผูก, อมิตายุรธยานสูตร 1 ผูก, มหาสุขาวดีวยูหสูตร 2 ผูก, อจินไตยประภาสโพธิสัตวนิทเทสูตร 1 ผูก, ศูรางคมสมาธิสูตร 3 ผูก, วิมลกีรตินิทเทศสูตร 3 ผูก และอื่นๆ อีกมากสูตรนัก ฯลฯ
อนึ่งคัมภีร์ฝ่ายลัทธิมนตรยานก็จัดสงเคราะห์ลงในหมวดไวปุลยะนี้ มีพระสูตรสำคัญ เช่น มหาไวโรจนสูตร 7 ผูก, เอกอักขระพุทธอุษฯราชาสูตร 6 ผูก, มหามณีวิปุลยะวิมาน วิศวศุภประดิษฐานคุหยปรมรหัสยะกัลปราชธารณีสูตร 3 ผูก, สุสิทธิกรสูตร 3 ผูก, วัชร เสขรสูตร 7 ผูก, โยคมหาตันตระราชาสูตร 5 ผูก, มหามรีจิโพธิสัตวสูตร 7 ผูก, วัชรเสข ระประโยคโหมตันตระ 1 ผูก, มหาสุวรรณมยุรีราชาธารณีสูตร 2 ผูก ฯลฯ
หมวดปรัชญา
มีพระสูตรใหญ่ ชื่อมหาปรัชญาปารมิตาสูตร 600 ผูก เป็นหัวใจ และมีสูตรปกิณณะ เช่น ราชไมตรีโลกปาลปารมิตาสูตร 2 ผูก วัชรปรัชญาปารมิตาสูตร 1 ผูก เป็นอาทิ ฯลฯ
หมวดสัทธรรมปุณฑริก
มีพระสูตรใหญ่ ชื่อสัทธรรมปุณฑริกสูตร 8 ผูก เป็นหัวใจ และมีสูตรปกิณณะ เช่น อนิวรรตธรรมจักรสูตร 4 ผูก, วัชรสมาธิสูตร 2 ผูก, มหาธรรมเภรีสูตร 2 ผูก, สมันตภัทรโพธิสัตวจริยธรรมธยานสูตร 1 ผูก เป็นอาทิ ฯลฯ
หมวดปรินิรวาณ
มีพระสูตรใหญ่ ชื่อมหาปรินิรวาณสูตร 40 ผูก เป็นหัวใจ มีสูตรปกิณณะ เช่น มหากรุณาสูตร 5 ผูก, มหามายาสูตร 2 ผูก, มหาเมฆสูตร 4 ผูก, อันตรภาวสูตร 2 ผูก เป็น อาทิ ฯลฯ
อรรถกถาสุตตันตปิฎกมหายาน
มี 33 ปกรณ์ เช่น มหาปรัชญาปารมิตาศาสตร์ 100 ผูก แก้คัมภีร์มหาปรัชญาปารมีตาสูตร, ทศภูมิวิภาษาศาสตร์ 15 ผูก, สัทธรรมปุณฑริกสูตรอุปเทศ 2 ผูก เป็นอาทิ อรรถกถาพระสูตรของคันถรจนาจารย์จีน มี 38 ปกรณ์ เช่น อรรถกถาพุทธาวตังสกมหาไพบูลยสูตร 60 ผูก และปกรณ์ ประเภทเดียวกันอีก 5 คัมภีร์ นอกนั้นมีอรรถกถาลังกาวตารสูตร 8 ผูก, อรรถกถาวิมล กีรตินิทเทศสูตร 10 ผูก, อรรถกถาสุวรรณประภาสสูตร 6 ผูก, อรรถกถาสัทธรรม ปุณฑริกสูตร 20 ผูก, อรรถกถามหาปรินิรวาณสูตร 33 ผูก เป็นอาทิ ปกรณ์วิเศษของคันถรจนาจารย์อินเดีย มี 104 ปกรณ์ เช่น โยคาจารภูมิศาสตร์ 100 ผูก, ปกรณารยวาจาศาสตร์การิกา 20 ผูก, มหายานอภิธรรมสังยุกตสังคีคิศาสตร์ 16 ผูก, มหายานสัมปริครหศาสตร์ 3 ผูก, มัธยานตวิภังคศาสตร์ 2 ผูก เหตุวิทยาศาสตร์ 1 ผูก, มหายสนศรัทโธตปาทศาสตร์ 2 ผูก, มาธยมิกศาสตร์ 2 ผูก, ศตศาสตร์ 2 ผูก, มหายานวตารศาสตร์ 2 ผูก, มหายาน โพธิสัตวศึกษาสังคีติศาสตร์ 11 ผูก, มหายานสูตราลังการ 15 ผูก, ชาตกมาลา 10 ผูก, มหาปุรุษศาสตร์ 2 ผูก, สังยุกตอวทาน 2 ผูก ทวาทศทวารศาสตร์ 1 ผูก นอกนั้นก็เป็นปกรณ์สั้นๆ เช่น วิฃญาณมาตราตรีทศศาสตร์, วีศติกวิชญานมาตราศาสตร์, อลัมพนปริกษ ศาสตร์, อุปายหฤทัยศาสตร์, หัตถธารศาตร์, วิชญานประวัตรศาสตร์, วิชญานนิทเทศ ศาสตร์, มหายานปัญจสกันธศาสตร์เป็นอาทิ
พระอภิธรรมปิฎกมหายาน
ส่วนพระอภิธรรมของมหายาน กำเนิดขึ้นเมื่อล่วงได้ 500 ปี นับแต่พุทธปรินิพพาน ในครั้งแรกไม่จัดเข้าเป็นปิฎก แต่พึ่งมาจัดเข้าในภายหลัง เรียกว่า ศาสตร์ เป็นนิพนธ์ของคณาจารย์อินเดีย เช่น นาคารชุน เทวะ อสังคะวสุพันธุ สถิรมติ ธรรมปาละ ภาวิเวก และทินนาค เป็นต้น ศาสตร์ของพวกมหายานส่วนใหญ่เป็นของฝ่ายวิชญาณวาทิน และศูนยตวาทิน ศาสตร์ที่ใหญ่และยาวที่สุด คือ โยคาจารภูมิศาสตร์
วิสุทธิภูมิหรือพุทธเกษตร
มหายานมีมติว่า พระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์มีจำนวนมากมายดุจเมล็ดทรายในคงคานที และในจักรวาลอันเวิ้งว้างนี้ ก็มีโลกธาตุที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัติแสดงพระสัทธรรมเทศนาอยู่ทั่วไปนับประมาณมิได้ ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต แม้ในโลกธาตุนี้พระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะดับขันธปรินิพพานไปแล้ว แต่ในขณะนี้ ณ โลกธาตุอื่นก็มีพระพุทธเจ้าองค์อื่น ๆ ทรงดำรงพระชนม์อยู่ และกำลังสั่งสอนสรรพสัตว์ โลกธาตุที่มีพระพุทธเจ้ามาอุบัตินั้น บางทีเรียกว่า “พุทธเกษตร” บางพุทธเกษตรบริสุทธิ์สมบูรณ์ด้วยทิพยภาวะน่ารื่นรมย์ สำเร็จแล้วด้วยอำนาจปณิธานของพระพุทธเจ้าพระองค์นั้นก็มี สำเร็จแล้วด้วยกรรมนิยมของสัตว์ก็มี เป็นสถานที่สรรพสัตว์ในโลกธาตุอื่น ๆ ควรมุ่งไปเกิด พุทธเกษตรสำคัญที่เป็นที่รู้จักกันกว้างขวางในหมู่พุทธศาสนิกชนคือ สุขาวดีพุทธเกษตร ของพระอมิตาภะพุทธะ อยู่ทางทิศตะวันตกแห่งโลกธาตุนี้ พุทธเกษตรของพระไภษัชยคุรุไวฑูรยประภา อยู่ทางทิศตะวันออก เป็นพุทธเกษตรซึ่งมีรัศมีไพโรจน์แล้วด้วยมณีไพฑูรย์ พุทธเกษตรของพระอักโษภยะแห่งหนึ่ง และมณฑลเกษตรของพระเมตไตรยโพธิสัตว์ในดุสิตสวรรค์อีกแห่งหนึ่ง เกษตรทั้ง 4 นี้ ปรากฏว่าสุขาวดีพุทธเกษตรของพระอมิตาภะ เป็นที่นับถือของพุทธศาสนิกชนฝ่ายมหายานมากที่สุด ถึงกับสามารถตั้งเป็นนิกายโดยเอกเทศต่างหาก
วิสุทธิภูมิเป็นหลักการสำคัญของมหายาน โดยนับเป็นวิถีทางหนึ่งที่จะยังสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นจากสังสารวัฏ ด้วยวิธีตั้งจิตประณิธานพึ่งอำนาจพุทธบารมีแห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อไปอุบัติยังแดนพุทธเกษตรเหล่านั้น หากสรรพสัตว์มีศรัทธาเชื่อมั่นในพุทธบารมีย่อมสามารถไปอุบัติ ณ พุทธเกษตร เมื่อได้สดับธรรมะต่อเบื้องพระพักตร์ของพระพุทธเจ้า ณ ดินแดนนั้นแล้ว ย่อมบรรลุนิรวาณอันสงบ มหายานอธิบายว่าวิธีการหลุดพ้นจากสังสารวัฏเป็นได้ 2 กรณี คือพึ่งอำนาจตนเอง และพึ่งอำนาจผู้อื่น (คือพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์) การมุ่งขัดเกลากิเลสด้วยตนเองอาจเป็นไปได้ยากสำหรับปุถุชนสามัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคเสื่อมของพระสัทธรรม ดังนั้นวิธีที่ดีที่สุดจะนำสรรพสัตว์ถ้วนหน้าไปสู่ความหลุดพ้นก็คือการพึ่งอำนาจบารมีพระพุทธองค์ รับสรรพสัตว์เหล่านั้นไปสู่วิสุทธิภูมิเพื่อปฏิบัติธรรมและตรัสรู้ ณ ดินแดนนั้น อันเอื้ออำนวยต่อการหลุดพ้นมากกว่าโลกนี้ อย่างน้อยที่สุด ณ พุทธเกษตรเหล่านั้นก็จะไม่มีความทุกข์ใด ๆ ทุกผู้ทุกนามที่มีจิตตั้งมั่นอธิษฐานอุทิศขอไปเกิดยังพุทธเกษตรก็ย่อมได้อุบัติในพุทธเกษตรทั้งสิ้น ทั้งนี้ก็ด้วยปณิธานแห่งพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ ณ พุทธเกษตรเหล่านั้นนั่นเอง ผู้ที่อุบัติในพุทธเกษตรย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ไม่เวียนลงต่ำ ย่อมไม่เกิดในโลกมนุษย์ตลอดจนภูมิที่ต่ำลงมาอีกแล้ว มุ่งตรงต่อพระนิรวาณอย่างเที่ยงแท้ หลักการนี้จึงมีคำกล่าวว่า "มหายานสำหรับมหาชน" กล่าวคือสามารถรื้อขนสรรพสัตว์ไปสู่ความหลุดพ้นได้โดยเสมอภาคนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม ในหมู่คณาจารย์ของนิกายมหายานก็ยังมีความคิดเห็นแตกต่างกันออกไปในประเด็นนี้ เช่น นิกายสุขาวดีถือว่าพระอมิตาภะมีอยู่จริงและสุขาวดีอยู่ทางทิศตะวันตกของโลกนี้อย่างแน่นอน ขณะที่คณาจารย์บางท่านอธิบายว่าพระอมิตาภะแท้จริงแล้วก็คือพุทธภาวะที่บริสุทธิ์มีในสรรพสัตว์ และถือว่าวิสุทธิภูมินั้นก็อยู่ภายในจิตของเราเอง ดังที่ท่านเว่ยหล่างแห่งนิกายเซนกล่าวว่า "คนหลงสวดภาวนาถึงพระอมิตาภะปรารถนาไปอุบัติยังสุขาวดี แต่บัณฑิตพึงชำระจิตของตนให้สะอาด..." และในวิมลกีรตินิรเทศสูตรก็มีข้อความว่า "เมื่อจิตบริสุทธิ์แล้ว พุทธเกษตรก็ย่อมบริสุทธิ์" ดังนี้เป็นต้น
การบำเพ็ญบารมี (ทศปารมิตา)
โพธิสัตวยาน คือยานของพระโพธิสัตว์ ได้แก่ผู้บำเพ็ญบารมีธรรม ประกอบด้วยมหากรุณาในสรรพสัตว์ ไม่ต้องการอรหัตภูมิ ปัจเจกภูมิ แต่ปรารถนาพุทธภูมิ เพื่อโปรดสัตว์ได้กว้างขวางกว่า และเป็นผู้รู้แจ้งในศูนยตาธรรม หลักพระโพธิสัตวยานนั้น ถือว่าจะต้องโปรดสรรพสัตว์ให้หลุดพ้นทุกข์เสียก่อนแล้วตัวเราค่อยหลุดพ้นทุกข์ทีหลัง คือจะต้องชักพาให้สัตว์โลกอื่น ๆ ให้พ้นไปเสียก่อน ส่วนตัวเราเป็นคนสุดท้ายที่จะหลุดพ้นไป เป็นหลักแห่งโพธิสัตวยาน ซึ่งพระโพธิสัตว์ต้องบำเพ็ญ ทศปารมิตา คือบารมี 10 ของฝ่ายมหายาน ได้แก่
ทานปารมิตา หรือ ทานบารมี
ศีลปารมิตา หรือ ศีลบารมี
กฺษานฺติปารมิตา หรือ ขันติบารมี
วีรฺยปารมิตา หรือ วิริยบารมี
ธฺยานปารมิตา หรือ ฌานบารมี
ปฺรชฺญาปารมิตา หรือ ปัญญาบารมี
อุปายปารมิตา หรืออุบายบารมี
ปฺรณิธานปารมิตา หรือประณิธานบารมี
พลปารมิตา หรือ พลบารมี
ชฺญานปารมิตา หรือ ญาณบารมี

นาคารชุน

จุดมุ่งหมายของมหายาน

หลักสำคัญของพระพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน คือหลักแห่งพระโพธิสัตวภูมิซึ่งเป็นหลักที่พระพุทธศาสนาฝ่ายมหายานแต่ละนิกายยอมรับนับถือ มหายานทุกนิกายย่อมมุ่งหมายโพธิสัตวภูมิ ซึ่งเป็นเหตุที่ให้บังเกิดพุทธภูมิ บุคคลหนึ่งบุคคลใดที่จะบรรลุถึงพุทธภูมิได้ ต้องผ่านการบำเพ็ญจริยธรรมแห่งพระโพธิสัตว์มาก่อน เพราะฉะนั้น จึงถือว่าโพธิสัตวภูมิเป็นเหตุ พุทธภูมิเป็นผล เมื่อบรรลุพุทธภูมิเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้าย่อมโปรดสัตว์ให้ถึงความหลุดพ้นได้กว้างขวาง และขณะบำเพ็ญบารมีเป็นพระโพธิสัตว์ ก็ยังสามารถช่วยเหลือสรรพสัตว์ที่ตกทุกข์ในสังสารวัฏได้มากมาย อุดมคติอันเป็นจุดหมายสูงสุดของมหายานจึงอยู่ที่การบำเพ็ญบารมีตามแนวทางพระโพธิสัตว์ เพื่อนำพาสรรพสัตว์สู่ความหลุดพ้นจากวัฏสงสารให้หมดสิ้น
นาคารชุน